ส่อง 7 กองทุน “ตลาดหุ้นอินเดียมาแรง” มีกองทุนไหนบ้างที่ควรเก็บเข้าพอร์ต !

ส่อง 7 กองทุน “ตลาดหุ้นอินเดียมาแรง” มีกองทุนไหนบ้างที่ควรเก็บเข้าพอร์ต !
Table of Contents

ดูเหมือนว่า ในปีนี้ประเทศอินเดียกำลังเป็นที่น่าจับตามองของนักลงทุนเป็นอย่างมากค่ะ เพราะอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับในปีนี้อินเดียกำลังจะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งใหม่ เป็นเหตุให้หุ้นอินเดียกลายเป็นเป้าหมายใหม่ที่มาแรงและน่าลงทุนอันดับต้น ๆ ณ ช่วงเวลานี้ 

ดังนั้น ในวันนี้คุณน้าพาเทรดจะพาทุกคนมาส่อง 7 กองทุน “ตลาดหุ้นอินเดียมาแรง” มีกองทุนไหนบ้าง ? ที่นักลงทุนควรเก็บเข้าพอร์ต มาเริ่มกันเลยค่ะ !


ทำไมตลาดอินเดียถึงน่าสนใจ ?

ทำไมตลาดอินเดียถึงน่าสนใจ ?

จากที่คุณน้าได้ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับอินเดียมา เห็นได้ว่าอินเดียมีปัจจัยสำคัญหลาย ๆ ข้อ ที่ส่งผลให้หุ้นอินเดียมีแนวโน้มเติบโตในระยะยาว ซึ่งคุณน้าได้รวบรวม 3 ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตลาดอินเดียน่าสนใจ โดยมีรายละเอียด ดังต่อไปนี้

1. เศรษฐกิจของอินเดียใหญ่เป็นอันดับ 5 ของโลก

ทำไมตลาดหุ้นอินเดียน่าสนใจ : เศรษฐกิจของอินเดีย

ที่มา : SCB CIO

มาเริ่มกันที่ปัจจัยแรก คือ ขนาดเศรษฐกิจของอินเดียใหญ่เป็นอันดับ 5 ของโลกค่ะ (รองลงมาจากสหรัฐอเมริกา, จีน, เยอรมัน และญี่ปุ่น) ทำให้มูลค่าตลาดหรือ Market Cap ของอินเดียอยู่ที่ 3.7 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งถือว่ามูลค่าสูงมาก ประกอบกับดัชนี PMI มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้เศรษฐกิจภายในประเทศมีแนวโน้มเติบโต ส่งผลให้เกิดการแข่งขันระหว่างบริษัทขนาดใหญ่เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก ด้วยเหตุนี้เอง เหล่านักลงทุนจึงสามารถเลือกลงทุนในบริษัทเหล่านี้ได้กว้างมากขึ้นค่ะ 

2. ทรัพยากรคนและทรัพยากรทุนดี

ทำไมตลาดหุ้นอินเดียน่าสนใจ : ทรัพยากรดี

ที่มา : Database.earth

มาต่อกันที่ปัจจัยข้อที่ 2 คือ ทรัพยากรดีค่ะ ซึ่งทรัพยากรดีในที่นี้ หมายถึงทรัพยากรคนและทุนดี โดยคุณน้าขอขยายความเพิ่มเติม คือ อินเดียเป็นประเทศที่มีจำนวนประชากรมากเป็นอันดับ 1 ของโลก โดยจากการจัดอันดับในปี 2024 ให้ข้อมูลว่า อินเดียมีจำนวนประชากรมากถึง 1,441 ล้านคน และส่วนใหญ่เป็นประชากรวัยทำงานที่อายุยังน้อย โดยมีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 27.2 ปีเท่านั้น เมื่อวัยแรงงานมีกำลังในการจับจ่ายที่ดีขึ้น ส่งผลให้การบริโภคภายในประเทศมีแนวโน้มเติบโตตามไปด้วย เห็นได้จากตัวเลข GDP ของอินเดียที่เพิ่มสูงขึ้นในทุก ๆ ปี จากงานวิจัยของ Goldman Sachs ธนาคารยักษ์ใหญ่ของโลกได้คาดการณ์ว่า ในปี 2024 ตัวเลข GDP ของอินเดียจะเติบโตอยู่ที่ 6.3% ต่อปี และในอนาคตจะมีแนวโน้มเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ค่ะ

นอกจากทรัพยากรคนในอินเดียมีการพัฒนาแล้ว ทรัพยากรทุนของอินเดียก็พัฒนาเช่นเดียวกันค่ะ เนื่องจากคนอินเดียมีการเพิ่มทุนด้วยเครื่องจักรและอุปกรณ์ เพื่อเข้าไปช่วยในการทุ่นแรง ทำให้เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้รวดเร็วยิ่งขึ้น 

📌 ดังนั้น คุณน้ามองว่า อินเดียเป็นประเทศที่มีศักยภาพของคนและทรัพยากร ทำให้กลายเป็นหนึ่งในตลาดแรงงานที่น่าจับตามองในขณะนี้ค่ะ

3. โครงสร้างขั้นพื้นฐานของอินเดียมีการพัฒนา

ทำไมตลาดหุ้นอินเดียน่าสนใจ : โครงสร้างขั้นพื้นฐานของอินเดีย

ที่มา : REUTERS

มาต่อกันที่ปัจจัยข้อสุดท้าย คือ โครงสร้างขั้นพื้นฐานของอินเดียมีการพัฒนาค่ะ สืบเนื่องมาจากอินเดียได้เริ่มปฏิรูปเศรษฐกิจภายในประเทศตั้งแต่ปี 1991 และพัฒนามาเรื่อย ๆ แม้ว่าในบางปีจะได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกอยู่บ้าง แต่ภาพรวมเศรษฐกิจโดยเฉลี่ยของอินเดียค่อนข้างเติบโตในระดับดี ซึ่งส่วนใหญ่เศรษฐกิจของอินเดียจะเติบโตอยู่ที่ระดับ 7-8% ต่อปี ประกอบกับอินเดียยังเป็นหนึ่งในประเทศที่อยู่ในกลุ่ม BRICS ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วนั่นเองค่ะ

และในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ เศรษฐกิจอินเดียยังคงเติบโตอย่างร้อนแรง แม้ว่าในปี 2019 จะได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้รัฐบาลต้องเร่งผลักดันนโยบายทางเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ ซึ่งนายนเรนทรา โมดี ประธานาธิบดีของอินเดียได้ผลักดันนโยบายโมดี 2.0 เพื่อเตรียมพร้อมกับการลงทุนจากต่างชาติ ทำให้มีแผนการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจหลายข้อ ซึ่งคุณน้าขอยกตัวอย่าง 3 นโยบายของโมดี 2.0 โดยมีรายละเอียด ดังต่อไปนี้

ตัวอย่างแผนนโยบายโมดี 2.0
ปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจและระบบภาษีภายในประเทศเพื่อเอื้อให้กลุ่มแรงงานนอกระบบมากยิ่งขึ้น
วางระบบเศรษฐกิจรองรับการลงทุนจากภายนอกไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมด้านโลจิสติกส์และการทำธุรกรรมออนไลน์ เพื่อดึงดูดเงินลงทุนจากนักลงทุนต่างประเทศ 
วางแผนลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่องเพื่อพัฒนาให้มีความทันสมัยเทียบเท่ากับประเทศชั้นนำ และเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งของภาคธนาคารและภาคครัวเรือนให้มากขึ้น

📌 นอกจากนี้ ในปี 2024 นี้ อินเดียจะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีทั่วไปอีกครั้ง ในเดือนพฤษภาคมที่จะถึงนี้ ซึ่งถือว่าเป็นการเลือกตั้งครั้งใหญ่ที่น่าจับตามองมากที่สุดในโลก เพราะเป็นการเลือกตั้งที่มีคนออกมาใช้สิทธิจำนวนมาก

🔍บทความที่เกี่ยวข้องกับอินเดียเพิ่มเติม :


หุ้นอินเดีย วันนี้เป็นอย่างไร ?

เนื่องจากมูลค่า Market Cap ของอินเดียอยู่ที่ 3.7 ล้านล้านดอลลาร์ และใหญ่เป็นอันดับที่ 5 ของโลก ส่งผลให้หุ้นอินเดียมีแนวโน้มสดใสและมีโอกาสเติบโตในอนาคต ซึ่ง SCB CIO ได้วิเคราะห์ว่า ตลาดอินเดียมีแนวโน้มเติบโตในระดับ 6%-7% ต่อปี (อ้างอิง)  ถึงแม้ว่า Valuation ของหุ้นอินเดียจะยังอยู่ในระดับสูง แต่หากแลกมากับความคุ้มค่าในระยะยาว คุณน้าก็ขอแนะนำว่า หุ้นอินเดียเป็นอีกหนึ่งหุ้นที่ควรเก็บเข้าพอร์ตค่ะ ซึ่งคุณน้าได้รวบรวม 3 ดัชนีหลักที่นักลงทุนควรติดตามไว้ โดยมีรายละเอียด ดังต่อไปนี้

1. BSE Sensex Index

BSE Sensex Index คือ ดัชนีที่ประกอบไปด้วยหุ้นขนาดใหญ่จาก 30 บริษัทแรกที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ Bombay Stock Exchange (BSE)  โดยปัจจุบัน BSE Sensex Index มีหุ้นทั้งหมดกว่า 5,300 ตัว เช่น Axis Bank, Asian Paint และ Infosys เป็นต้น

2.  Nifty 50 

Nifty 50 คือ ดัชนีที่ประกอบด้วยหุ้นขนาดใหญ่ของ 50 บริษัทแรกที่จดทะเบียนใน National Stock Exchage (NSE) ถือเป็นหุ้น Blue-Chip ของอินเดีย ซึ่ง Nifty 50 จะอยู่ในกลุ่มธนาคาร, เทคโนโลยี, สินค้าอุปโภคบริโภค และพลังงาน ในปัจจุบันกลุ่ม Nifty 50 มีหุ้นทั้งหมดกว่า 2,100 ตัว เช่น HDFC Bank, Infosys และ Maruti Susuki เป็นต้น 

3. MSCI India 

MSCI India คือ ดัชนีอ้างอิงจากบริษัท Morgan Stanley Capital International (MSCI) บริษัททำดัชนีราคาหุ้นชั้นนำของโลก โดย MSCI India จัดทำขึ้นเพื่อให้นักลงทุนที่สนใจเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นอินเดีย ซึ่งจะประกอบด้วยหุ้นขนาดกลางและขนาดใหญ่ 114 ตัว เช่น Punjab National Bank, BHEL, NMDC, Union Bank of India,  และ GMR Airports Infrastructure

BSE SENSEX Index
Nifty 50
MSCI India


ความเสี่ยงของหุ้นอินเดีย นักลงทุนต้องรู้อะไรบ้าง ?

แม้ว่าตลาดหุ้นอินเดียจะมีโอกาสเติบโตในระยะยาว แต่สิ่งที่นักลงทุนต้องพิจารณาเพิ่มเติม คือ ความเสี่ยงจากอัตราการแลกเปลี่ยนค่ะ เพราะกองทุนต่างประเทศที่กองทุนไทยนำเงินไปลงทุนไม่ได้กำหนดมูลค่าหน่วยเป็นเงินรูปี แต่กำหนดเป็นดอลลาร์สหรัฐหรือยูโรแทน ซึ่งการเปลี่ยนแปลงของค่าเงินอาจจะทำให้เกิดความเสี่ยงในแง่ความผันผวนของอัตราการแลกเปลี่ยนได้ค่ะ


แนะนำ 7 กองทุนไทยลงทุนในหุ้นอินเดีย ปี 2024

ทีมงานคุณน้าพาเทรดได้รวบรวม 7 กองทุนไทยที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นอินเดีย ปี 2024 มาให้นักลงทุนที่กำลังให้ความสนใจลงทุนในอินเดียค่ะ โดย 7 กองทุนมีรายละเอียด ดังต่อไปนี้

1. กองทุนเปิดบัวหลวงภารตะ : B-BHARATA

กองทุนไทยลงทุนในหุ้นอินเดีย : B-BHARATA

บลจ. : BBLAM

ประเภทกองทุน : กองทุนรวมตราสารทุน, กองทุนรวมฟีดเดอร์ และกองทุนรวมที่เน้นลงทุนแบบมีความเสี่ยงต่างประเทศ

ลงทุนครั้งแรกขั้นต่ำ : 500 บาท

ลงทุนครั้งต่อไป : 500 บาท

วันจดทะเบียน : 15 กันยายน 2560

มูลค่าทรัพย์สิน : 1,446,332,143.95 บาท

2. กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ หุ้นอินเดีย (ชนิดสะสมมูลค่า) : SCBINDIAA

กองทุนไทยลงทุนในตลาดหุ้นอินเดีย : SCBINDIAA

บลจ. : SCBAM

ประเภทกองทุน : กองทุนที่ลงทุนในต่างประเทศ (เน้นตราสารทุน)

ลงทุนครั้งแรกขั้นต่ำ : 1 บาท

ลงทุนครั้งต่อไป : 1 บาท

วันจดทะเบียน : 11 สิงหาคม 2564 

มูลค่าทรัพย์สิน : 131,388,656.7 บาท

3. กองทุนเปิดทีเอ็มบี India Active Equity : TMBINDAE

กองทุนไทยลงทุนในตลาดหุ้นอินเดีย : TMBINDAE

บลจ. : EASTSPRING

ประเภทกองทุน : กองทุนที่ลงทุนในต่างประเทศ

ลงทุนครั้งแรกขั้นต่ำ : 1 บาท

ลงทุนครั้งต่อไป : 1 บาท

วันจดทะเบียน : 11 มิถุนายน 2561

มูลค่าทรัพย์สิน : 737,550,623.21 บาท

4. กองทุนเปิด ทิสโก้ อินเดีย อิควิตี้ : TISCOINA-A

กองทุนไทยลงทุนในตลาดหุ้นอินเดีย : TISCOINA-A

บลจ. : TISCOAM

ประเภทกองทุน : กองทุนรวมต่างประเทศ (ตราสารทุน)

ลงทุนครั้งแรกขั้นต่ำ : 1,000 บาท

ลงทุนครั้งต่อไป : 1,000 บาท

วันจดทะเบียน : 16 กุมภาพันธ์ 2559

มูลค่าทรัพย์สิน : 27,484,459.29 บาท

5. กองทุนเปิดเค ดัชนีหุ้นอินเดีย : K-INDX

กองทุนไทยลงทุนในตลาดหุ้นอินเดีย : K-INDX

บลจ. : KASSET

ประเภทกองทุน : กองทุนรวมตราสารทุน​ และกองทุนรวมดัชนี (Index Fund) เป็นต้น

ลงทุนครั้งแรกขั้นต่ำ : 500 บาท

ลงทุนครั้งต่อไป : 500 บาท

วันจดทะเบียน : 19 สิงหาคม 2558

มูลค่าทรัพย์สิน : 1,324,711,057.66 บาท

6. กองทุนเปิดกรุงศรีอินเดียอิควิตี้เพื่อการเลี้ยงชีพ : KFINDIARMF

กองทุนไทยลงทุนในตลาดหุ้นอินเดีย : KFINDIARMF

บลจ. : KSAM

ประเภทกองทุน : กองทุนรวมตราสารทุน และกองทุนรวมหน่วยลงทุนประเภท Feeder Fund

ลงทุนครั้งแรกขั้นต่ำ : 500 บาท

ลงทุนครั้งต่อไป : 500 บาท

วันจดทะเบียน : 23 พฤศจิกายน 2561

มูลค่าทรัพย์สิน : 357,648,153.34 บาท

7. กองทุนเปิด แอล เอช อินเดีย-E ชนิดสะสมมูลค่า : LHINDIAE-A

กองทุนไทยลงทุนในตลาดหุ้นอินเดีย : LHINDIAE-A

บลจ. : LHFUND

ประเภทกองทุน : กองทุนรวมต่างประเทศ (ตราสารทุน)

ลงทุนครั้งแรกขั้นต่ำ : 1,000 บาท

ลงทุนครั้งต่อไป : 100 บาท

วันจดทะเบียน : 14 ธันวาคม 2560

มูลค่าทรัพย์สิน : 12,793,741.46 บาท


ทำไมต้องลงทุนในอินเดีย

  • เศรษฐกิจของอินเดียใหญ่เป็นอันดับ 5 ของโลก
  • ทรัพยากรดี
  • โครงสร้างขั้นพื้นฐานของอินเดียมีการพัฒนา

ดัชนีหุ้นอินเดียมีอะไรบ้าง ?

ดัชนีหุ้นอินเดียมี 3 ดัชนีหลัก ดังต่อไปนี้

  • BSE SENSEX Index
  • Nifty 50
  • MSCI India

Sensex กับ Nifty ต่างกันอย่างไร ?

Sensex คือ ดัชนีที่ประกอบไปด้วยหุ้นขนาดใหญ่จาก 30 บริษัทแรกที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ Bombay Stock Exchange (BSE)  ส่วน Nifty คือ ดัชนีที่ประกอบด้วยหุ้นขนาดใหญ่ของ 50 บริษัทแรกที่จดทะเบียนใน National Stock Exchange (NSE) 

ตลาดหุ้นอินเดียชื่ออะไร ?

ตลาดหุ้นอินเดียมีชื่อว่า ตลาดหลักทรัพย์บอมเบย์ หรือ Bombay Stock Exchange นั่นเองค่ะ

7 กองทุนในตลาดหุ้นอินเดีย มีอะไรบ้าง ?

  • B-BHARATA
  • SCBINDIAA
  • TMBINDAE
  • TISCOINA-A
  • K-INDX
  • KFINDIARMF
  • LHINDIAE-A


สรุป

ตลาดหุ้นอินเดียเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจในการเข้าไปลงทุน แต่ก่อนที่จะเข้าไปลงทุนนั้น นักลงทุนต้องทำการศึกษาข้อมูลของกองทุนที่คุณสนใจให้ดีก่อนค่ะ โดยควรเลือกกองทุนหรือสินทรัพย์ที่มีโอกาสเติบโตในระยะยาว และที่สำคัญอย่าลืมบริหารจัดการความเสี่ยงให้ดี เพราะทุกการลงทุนล้วนมีความเสี่ยงค่ะ

สำหรับใครที่สนใจอ่านรีวิวโบรกเกอร์ : Review Brokers

บทความในเรื่องการลงทุนที่น่าสนใจ : Investing

คลังความรู้จากคุณน้า : Knowledge

khunnaphatrade
khunnaphatrade
Recent Post
ส่องเทรนด์ Pop Mart คืออะไร ลงทุนหุ้นของเล่น Art toy น่าสนใจปี 2024
ส่องเทรนด์ Pop Mart คืออะไร ลงทุนหุ้นของเล่น Art toy น่าสนใจปี 2024

เชื่อว่าทุกคนต้องเคยได้ยินคำว่า “กล่องสุ่ม” “Art toy” หรือ “Pop Mart” กระแสที่กำลังในประเทศไทย วันนี้คุณน้าจะพาทุกคนไปรู้จักกับเทรนด์กล่องสุ่มของ Pop Mart ค่ะ

กองทุน Thai ESG ทางเลือกใหม่เพื่อความยั่งยืน ซื้อกองไหนดี? ปี 2024
กองทุน Thai ESG ทางเลือกใหม่เพื่อความยั่งยืน ซื้อกองไหนดี? ผลตอบแทนสูง ปี 2024

คุณน้าพาเทรดจะพาทุกคนมารู้จักกับกองทุน Thai ESG ทางเลือกใหม่เพื่อความยั่งยืน ซื้อกองไหนดี? เพื่อให้ทุกคนได้รู้จักกับกองทุนประเภทนี้ดียิ่งขึ้น