หลาย ๆ คนคงเคยได้ยินคำว่า “การลงทุน” และ “การเทรด” มาบ้างแล้ว โดยทั้งสองวิธีสามารถสร้างกำไรในตลาดการเงินได้ แต่อย่างไรก็ดี ถึงแม้วิธีการทั้งคู่จะมีจุดประสงค์เดียวกันแต่ก็มีความแตกต่างกันมากเลยค่ะ โดยทั่วไปแล้วนักลงทุนจะหวังผลกำไรก้อนใหญ่และมักจะเน้นถือยาว และมีความเสี่ยงที่ค่อนข้างต่ำ ในขณะที่เทรดเดอร์นั้นก็จะตรงกันข้ามโดยจะหวังกำไรจากระยะสั้น ๆ ซื้อแล้วขายอย่างรวดเร็ว โดยมักจะมาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงเช่นกัน
การลงทุน
จุดประสงค์หลักของการลงทุนคือการค่อย ๆ สร้างความมั่นคงทางการเงินในระยะเวลาหนึ่ง อาจจะลองเปรียบเทียบให้เหมือนการเปิดร้านขายของร้านหนึ่ง ซึ่งแน่นอนว่าจะสร้างกำไรไม่ได้ภายในวันสองวันแน่ ๆ โดยการลงทุนสามารถทำได้ง่าย ๆ ผ่านการซื้อและถือหุ้นในพอร์ตการลงทุน กองทุนรวม และการลงทุนประเภทอื่น ๆ
นักลงทุนมักจะถือหุ้น หรือนำเงินไปลงทุนในกองทุนต่าง ๆ เป็นเวลานานเลยล่ะค่ะ บางรายก็ถือกันเป็นสิบ ๆ ปีเลยทีเดียว โดยอาศัยผลเป็นดอกเบี้ย เงินปันผล ในขณะที่ตลาดผันผวนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นักลงทุนจะ “ฝืน” แนวโน้มขาลงด้วยความคาดหวังว่าราคาจะดีดตัวขึ้น นักลงทุนมักกังวลกับปัจจัยพื้นฐานของตลาดมากกว่า เช่น อัตราส่วนราคาต่อกำไรและการคาดการณ์ของฝ่ายบริหาร
การเทรด
การเทรดนั้นจะมีการทำธุรกรรมที่บ่อยกว่าการลงทุน เช่น การซื้อและขายหุ้น, commodities, เทรดคู่เงิน โดยจุดประสงค์ของการเทรดคือการสร้างผลตอบแทนที่มากกว่าการซื้อและถือ ในขณะที่นักลงทุนมักจะหวังผลตอบแทนรายปี 10-15% เทรดเดอร์มักจะหวังผลตอบแทน 10% ต่อเดือน
โดยวิธีการทำกำไรของการเทรดก็คือการซื้อที่ราคาถูกและขายที่ราคาแพงในช่วงระยะเวลาสั้นๆ และในทางกลับกันเราก็สามารถทำกำไรได้โดยการขายที่ราคาสูง และซื้อที่ราคาถูก ซึ่งเรียกได้อีกชื่อว่า “การขาย Short”
ซึ่งปกติแล้วการเทรดจะอาศัยความผันผวนของตลาดในเวลาอันสั้นเพื่อทำกำไร ด้วยเหตุนี้จึงทำให้การเทรดถูกมองว่ามีความเสีี่ยงที่สูงไม่ต่างกับการพนัน แต่ก็ยังอยู่ในกรอบที่สามารถควบคุมหรือคาดการณ์ได้อยู่
ในขณะที่นักลงทุนมักจะซื้อและถือยาว เทรดเดอร์จะพยายามหาทางได้กำไรให้ได้มากที่สุดในช่วงสั้นๆ และจะใช้ตัวช่วย stop loss เพื่อปิดออเดอร์อัตโนมัติ และยังใช้เครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคต่าง ๆ มากมาย เช่น MA และ Stochastic Oscillators เพื่อหาจุดที่เราจะทำกำไรได้เยอะที่สุด
โดยสไตล์ของเทรดเดอร์ก็มีหลากหลายสไตล์มากค่ะ โดยจะตั้งชื่อตามระยะเวลาที่ถือ แต่ในขณะเดียวกับตลาดหุ้นจะมีแค่ซื้อและขายเท่านั้น ซึ่งเราสามารถแบ่งเทรดเดอร์ออกเป็น 4 ประเภทค่ะ
- Position Trader: ถือยาวตั้งแต่ 1 เดือน – ปี
- Swing Trader: สายถือตั้งแต่หลายวันจนไปถึงสัปดาห์
- Day Trader: สายถือรายวัน และจะไม่ถือข้ามคืน
- Scalp Trader: สายถือสั้นมากๆ ระดับนาที
โดยเทรดเดอร์มักจะเลือกสไตล์การเทรดที่เหมาะกับตัวเองจากระยะเวลาที่ใช้ถือ ประสบการณ์ และระดับความเสี่ยงที่รับได้นั่นเองค่ะ
สรุปแล้วก็คือความแตกต่างของการลงทุนกับการเทรดก็คือระยะเวลาที่ถือและอัตราความเสี่ยงนั่นเองค่ะ
บทความในเรื่องการลงทุนที่น่าสนใจ : คลิกที่นี่
คลังความรู้จากคุณน้า : คลิกที่นี่
ขอบคุณข้อมูลจาก : Investopedia