กลยุทธ์การเทรดแบบดูสัญญาณ Price Action ถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ในตลาด Forex ซึ่งการดูสัญญาณเหมาะกับเทรดเดอร์ทุกคนเลยก็ว่าได้ค่ะ ทั้งเทรดเดอร์ที่ชอบถือออเดอร์ระยะยาวหรือชอบถือออเดอร์ระยะสั้น ที่สำคัญเราสามารถดูสัญญาณด้วยกราฟเปล่าได้เลยค่ะและคุณน้าต้องบอกก่อนว่าการที่เรารอให้ราคาเคลื่อนที่ไป แล้วใช้แค่ Indicator เข้ามาช่วยนั้น อาจจะเป็นวิธีที่ช้าไปบ้างในบางจังหวะ ดังนั้น เราจึงต้องทำความรู้จักการเกิด Price Action เพื่อเป็นการป้องกันให้เราพลาดโอกาสน้อยที่สุด
*หมายเหตุ : บทความนี้เป็นเพียงบทความให้ความรู้เท่านั้น ไม่ได้เป็นการชักชวนเพื่อลงทุนแต่อย่างใด โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
Price Action คืออะไร?

Price Action หรือ PA Forex คือ การศึกษาพฤติกรรมของกราฟราคาด้วยตาเปล่าค่ะ ซึ่งจะอาศัยการวิเคราะห์แนวโน้มของราคาในอดีต เพื่อคาดการณ์แนวโน้มของราคาในอนาคต โดยสัญญาณ Price Action จะสะท้อนให้เห็นถึงพฤติกรรมของนักลงทุนหรือเทรดเดอร์เกี่ยวกับกิจกรรมซื้อขายในตลาดแบบเรียลไทม์นั่นเองค่ะ
ดังนั้น จะเห็นได้ว่า Price Action เป็นสัญญาณที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง ซึ่งจะช่วยให้นักลงทุนหรือเทรดเดอร์สามารถจับสัญญาณการซื้อขายได้อย่างทันท่วงที และที่สำคัญก็คือ ยังสามารถใช้ได้กับทุกตลาดการเงินอีกด้วย
Price Action ดูอย่างไร?

ตามที่คุณน้าได้อธิบายไปข้างต้นว่า Price Action คือ สัญญาณที่สะท้อนให้เห็นถึงกิจกรรมการซื้อขายของนักลงทุนหรือเทรดเดอร์ในตลาด และก่อนที่คุณจะได้ทำความรู้จักกับ Price Action 12 แบบ คุณน้าจะขออธิบายจุดสังเกตของกราฟแท่งเทียน (Candlestick Chart) ให้ดีก่อนว่าจุด Open, Close, High, Low บนแท่งเทียน 1 แท่งนั้นมีอะไรบ้าง เพราะจุดเล็ก ๆ เหล่านี้จะช่วยอธิบายพฤติกรรมของเทรดเดอร์ในตลาดได้เห็นภาพยิ่งขึ้นค่ะ
และหากทุกคนเคยเห็นกราฟของหุ้นหรือคู่สกุลเงินต่าง ๆ น่าจะคุ้นเคยกับรูปแท่งเทียน (Candlestick Chart) กันมาแล้วใช่ไหมคะ เพราะแท่งเทียน 1 แท่งมีรายละเอียด ดังนี้ค่ะ
- จุดสูงสุด (High) คือ จุดสูงสุดที่ราคาในวันนั้นทำได้
- จุดต่ำสุด (Low) คือ จุดต่ำสุดที่ราคาในวันนั้นทำได้
- ราคาเปิด (Open) คือ ราคาเริ่มต้นที่มีการซื้อหรือขาย
- ราคาปิด (Close) คือ ราคาสุดท้ายที่มีการซื้อหรือขาย
- ไส้เทียน (Shadow) คือ ช่วงที่ราคาเคลื่อนไหวไปนอกราคาเปิดและราคาปิด ซึ่งเป็นแสดงให้เห็นว่า ราคาเคยเคลื่อนไหวไปในจุดนั้น ๆ แล้ว
- เนื้อเทียน (Body) คือ ระยะห่างระหว่างราคาเปิด (Open) และราคาปิด (Close)
เคล็ดลับการอ่านกราฟแท่งเทียน (Candlestick Chart)
สำหรับเคล็ดลับการอ่านกราฟแท่งเทียน (Candlestick Chart) มีวิธีการอ่านง่าย ๆ ดังนี้ค่ะ
- หากราคาเปิด (Open) อยู่ต่ำกว่าราคาปิด (Close) นั่นเท่ากับว่า แท่งเทียนอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น (สีเขียว)
- หากราคาเปิด (Open) อยู่สูงกว่าราคาปิด (Close) นั่นเท่ากับว่า แท่งเทียนอยู่ในแนวโน้มขาลง (สีแดง)
- หากแท่งเทียนเกิดการทิ้งไส้ยาว นั่นเท่ากับว่า ราคาเกิดการแกว่งตัวอย่างมาก
ประเภทกราฟ Forex ที่ใช้ในการวิเคราะห์ขั้นพื้นฐาน ประกอบด้วยกราฟเส้น (Line Chart), กราฟแท่ง (Bar Chart) และกราฟแท่งเทียน (Candlestick Chart) ค่ะ ซึ่งจะช่วยให้เทรดเดอร์สามารถวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของราคาได้ง่ายด้วยตาเปล่า แต่ Price Action ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถวางแผนกลยุทธ์การเทรดได้อย่างแม่นยำและทรงพลังเป็นอย่างมาก
วิธีการอ่าน Price Action ด้วยกราฟแท่งเทียน
หลังจากที่ได้ทำความรู้จักกับกราฟแท่งเทียนไปคร่าว ๆ แล้วนั้น ต่อมาคุณน้าจะพาทุกคนมาอ่านสัญญาณ Price Action ด้วยกราฟแท่งเทียนกันค่ะ ซึ่งจะยกตัวอย่าง 5 รูปแบบ Price Action ที่มักจะเห็นบ่อยครั้ง เพื่อให้คุณสามารถเห็นภาพได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น โดยมีรายละเอียด ดังต่อไปนี้
1. Price Action ในรูปแบบ Up Bar

Price Action ที่เป็นรูปแบบ Up Bar หรือที่เรียกว่าสัญญาณ “Bullish Bar” เป็นแท่งเทียนที่ราคาเปิดและราคาปิดมีลักษณะที่ทำ High ขึ้น และ Low ขึ้นสูงกว่าแท่งเทียนก่อนหน้า ซึ่งแสดงให้เห็นว่าราคาอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น หรือเป็นสัญญาณที่บอกชี้ว่ากำลังในฝั่งซื้อมีมากกว่าฝั่งขาย
โดยปกติแล้ว แท่งเทียนในแนวโน้มขาขึ้นจะเป็นสีเขียว (ราคาปิดสูงกว่าราคาเปิด) แต่บางครั้งแท่งเทียนก็สามารถเป็นสีแดงได้เช่นกัน (ราคาปิดต่ำกว่าราคาเปิด) เพราะถึงแม้ว่า แท่งเทียนจะเป็นสีแดง แต่ยังคงมีลักษณะที่ทำ High สูงขึ้นและ Low สูงขึ้นกว่าแท่งก่อนหน้า นั่นก็ยังถือว่าเป็นสัญญาณ Up Bar ได้เช่นกันค่ะ
2. Price Action ในรูปแบบ Down Bar

Price Action ที่เป็นรูปแบบ Down Bar หรือที่เรียกว่าสัญญาณ “Bearish Bar” จะมีรูปแบบตรงกันข้ามกับ Up Bar ก็คือ เป็นแท่งเทียนที่มีลักษณะ High ต่ำและ Low ต่ำลงกว่าแท่งเทียนก่อนหน้า ซึ่งแสดงให้เห็นว่าราคาอยู่ในแนวโน้มขาลง หรือเป็นสัญญาณที่บ่งชี้ว่ากำลังในฝั่งขายมีมากกว่าฝั่งซื้อ
โดยปกติแล้ว Down bar แท่งเทียนจะเป็นสีแดง (ราคาเปิดสูงกว่าราคาปิด) แต่บางครั้งแท่งเทียนก็สามารถเป็นสีเขียวได้เช่นกัน (ราคาปิดสูงกว่าราคาเปิด) ถึงแม้แท่งเทียนจะเป็นสีเขียว แต่ยังคงลักษณะที่ทำ High ต่ำลงและ Low ต่ำลงกว่าแท่งก่อนหน้า ซึ่งก็ถือว่าเป็นสัญญาณ Down Bar ค่ะ
3. Price Action ในรูปแบบ Pin Bar

Price Action ที่เป็นรูปแบบ Pin Bar คือ แท่งเทียนที่มีลักษณะเป็นไส้เทียนยาว ๆ ซึ่งเนื้อเทียนจะมีเพียงเล็กน้อย ส่วนไส้เทียนจะต้องยาวมากกว่าเนื้อเทียนอยู่ 3 ใน 4 ของเนื้อเทียนค่ะ โดย Price Action ในรูปแบบ Pin Bar จะใช้หาสัญญาณการกลับตัวของแนวโน้มของราคา ซึ่งมีจุดสังเกตอยู่ 2 จุด โดยมีรายละเอียด ดังนี้
- หากแท่งเทียนมีไส้เทียนยาวลงไปด้านล่างแต่เนื้อเทียนอยู่ด้านบน และมีราคาปิดอยู่ด้านบน แสดงให้เห็นว่าแท่งเทียนนี้เกิดแรงขาย แต่สุดท้ายมีแรงซื้อกลับเข้ามาทำให้เกิดสัญญาณขาขึ้น (Bullish)
- หากแท่งเทียนมีไส้เทียนยาวขึ้นไปด้านบนแต่เนื้อเทียนอยู่ด้านล่าง และราคาปิดอยู่ด้านล่าง แสดงให้เห็นว่าแท่งเทียนนี้เกิดแรงซื้อ แต่สุดท้ายมีแรงขายกลับเข้ามาทำให้เกิดสัญญาณขาลง (Bearish)
4. Price Action ในรูปแบบ Outside Bar
Price Action ในรูปแบบ Outside Bar คือ แท่งเทียนแท่งสุดท้ายเกิดการหลุดนอกกรอบของแท่งเทียนก่อนหน้า ทำให้เนื้อเทียนและไส้เทียนใหญ่กว่าแท่งเทียนก่อนหน้า
5. Price Action ในรูปแบบ Inside Bar
Price Action ในรูปแบบ Inside Bar คือ แท่งเทียน (Inside Bar) จะมีขนาดเล็กกว่าแท่งเทียนก่อนหน้า (Mother Bar) ซึ่งแสดงให้เห็นว่าราคามีการกระจุกตัว โดยยังคงไม่มีความแน่นอนว่าราคาในอนาคตจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางใด
แนะนำ Price Action 12 แบบยอดนิยม มีอะไรบ้าง?
คุณน้าขอแนะนำ Price Action 12 แบบยอดนิยม ซึ่งมีโอกาสในการกลับตัวสูง อีกทั้งยังเป็นที่นิยมของเหล่านักลงทุนหรือเทรดเดอร์ในการเพิ่มโอกาสในการทำกำไรอีกด้วยค่ะ โดย Price Action 12 แบบยอดนิยม มีรายละเอียด ดังนี้
1. Harami Pattern (Bullish Harami / Bearish Harami)
Harami Pattern คือ แท่งเทียน 2 แท่งที่มีลักษณะสำคัญก็คือ แท่งเทียนที่ 1จะมีขนาดใหญ่ ส่วนแท่งเทียนที่ 2 จะมีขนาดเล็กกว่า โดยเนื้อเทียนของแท่งเทียนที่ 2 จะต้องอยู่ภายในเนื้อเทียนของแท่งเทียนที่ 1 ซึ่งจะไม่รวมไส้เทียน Harami Pattern จะใช้บ่งชี้ถึงการกลับตัวของแนวโน้มของราคา
Harami Pattern จะแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ ได้แก่ Bullish Harami และ Bearish Harami โดยมีวิธีการสังเกต ดังนี้

Bullish Harami
จะประกอบไปด้วย 2 แท่งเทียน โดยมีรายละเอียด ดังนี้
- แท่งเทียนที่ 1จะอยู่ในแนวโน้มขาลงแต่แท่งเทียนที่ 2 จะอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น เพราะราคาเปิดของแท่งเทียนที่ 2 จะสูงกว่าแท่งเทียนที่ 1
- เนื้อเทียนของแท่งเทียนที่ 2 จะยังอยู่ภายในแท่งเทียนที่ 1 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าราคามีการกลับตัวจากแนวโน้มขาลงเป็นแนวโน้มขาขึ้น
Bearish Harami
จะประกอบไปด้วย 2 แท่งเทียน โดยมีรายละเอียด ดังนี้
- แท่งเทียนที่ 1จะอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นแต่แท่งเทียนที่ 2 จะอยู่ในแนวโน้มขาลง เพราะราคาเปิดของแท่งเทียนที่ 2 จะต่ำกว่าแท่งเทียนที่ 1
- เนื้อเทียนที่ 2 จะยังคงอยู่ภายในแท่งเทียนที่ 1 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าราคามีการกลับตัวจากแนวโน้มขาขึ้นเป็นแนวโน้มขาลง
กลยุทธ์การเทรด Bullish Harami | กลยุทธ์การเทรด Bearish Harami |
จุดเข้า : เปิด Order Buy เหนือกว่าราคาปิดของแท่งเทียนที่ 2 จุดตัดขาดทุน : ปรับจุดขาดทุนต่ำกว่าแท่งเทียนที่ 1 จุดทำกำไร : ปรับจุดทำกำไรตามแนวต้านหรือวัดจากระยะการเคลื่อนไหวก่อนหน้า | จุดเข้า : เปิด Order Sell ต่ำกว่าราคาปิดของแท่งเทียนที่ 2 จุดตัดขาดทุน : ปรับจุดขาดทุนสูงกว่าแท่งเทียนที่ 1 จุดทำกำไร : ปรับจุดทำกำไรตามแนวรับหรือวัดจากระยะการเคลื่อนไหวก่อนหน้า |
2. Star Pattern (Morning Star / Evening Star)
Star Pattern คือ ประกอบไปด้วยแท่งเทียน 3 แท่ง โดยมีลักษณะสำคัญก็คือ แท่งเทียนแท่งที่ 2 จะมีเนื้อเทียนขนาดเล็กหรือไม่มีเนื้อเทียนก็ได้ (Doji) ซึ่งแท่งเทียนที่ 2 จะบ่งชี้ถึงแรงเข้าซื้อหรือแรงเทขายที่อ่อนกำลังลง ทำให้เกิดเป็นความไม่ชัดเจนของตลาด ก่อนที่จะเกิดการกลับตัวของแนวโน้มของราคา โดยมีแท่งเทียนที่ 3 ช่วยยืนยันแนวโน้มของการกลับตัว
Star Pattern แบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ ได้แก่ Morning Star และ Evening Star โดยมีวิธีการสังเกต ดังนี้

Morning Star
จะประกอบไปด้วย 3 แท่งเทียน โดยมีรายละเอียด ดังนี้
- แท่งเทียนที่ 1 จะอยู่ในแนวโน้มขาลงขนาดใหญ่ (สีแดง)
- แท่งเทียนที่ 2 จะมีเนื้อเทียนเล็กน้อย ซึ่งอาจจะเป็นสีเขียว, สีแดง หรือ Doji ก็ได้ แต่จะต้องมีช่องว่างซึ่งราคาเปิดจะต้องต่ำกว่าแท่งเทียนที่ 1
- แท่งเทียนที่ 3 จะต้องอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นขนาดใหญ่ (สีเขียว) โดยที่ราคาปิดจะต้องสูงกว่า 50% ของแท่งเทียนที่ 1 เพื่อยืนยันสัญญาณการกลับตัว
Evening Star
จะประกอบไปด้วย 3 แท่งเทียน โดยมีรายละเอียด ดังนี้
- แท่งเทียนที่ 1จะอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นขนาดใหญ่ (สีเขียว)
- แท่งเทียนที่ 2 อาจจะมีเนื้อเทียนเล็กน้อย ซึ่งอาจจะเป็นสีเขียว, สีแดง หรือ Doji ก็ได้ แต่จะต้องมีช่องว่างซึ่งราคาเปิดจะต้องสูงกว่าแท่งเทียนที่ 1
- แท่งเทียนที่ 3 จะต้องอยู่ในแนวโน้มขาลงขนาดใหญ่ (สีแดง) โดยที่ราคาปิดจะต้องต่ำกว่า 50% ของแท่งเทียน เพื่อยืนยันสัญญาณการกลับตัว
กลยุทธ์การเทรด Morning Star (Bullish) | กลยุทธ์การเทรด Evening Star (Bearish) |
จุดเข้า : เปิด Order Buy เหนือกว่าราคาปิดของแท่งเทียนที่ 3 จุดตัดขาดทุน : ปรับจุดตัดขาดทุนต่ำกว่าจุดต่ำสุดของแท่งเทียนที่ 2 จุดทำกำไร : ปรับจุดทำกำไรตามแนวต้านหรือกำหนดตามความถนัดของเทรดเดอร์ | จุดเข้า : เปิด Order sell ต่ำกว่าราคาปิดของแท่งเทียนที่ 3 จุดตัดขาดทุน : ปรับจุดตัดขาดทุนไว้สูงกว่าจุดสูงสุดของแท่งเทียนที่ 2 จุดทำกำไร : ปรับจุดทำกำไรตามแนวรับหรือกำหนดตามความถนัดของเทรดเดอร์ |
3. Doji Star (Morning Doji Star / Evening Doji Star)
Doji Star Pattern คือ แท่งเทียนที่มีเนื้อเทียนน้อยหรือไม่มีเนื้อเทียนเลย ซึ่งจะทิ้งไส้ยาวเหมือนกับไม้กางเขน เพราะ Doji สะท้อนให้เห็นถึงความไม่แน่นอนของตลาด ทำให้ราคาเปิดและราคาปิดมักจะเท่ากันค่ะ
Doji Star Pattern สามารถแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ ได้แก่ Morning Doji Star และ Evening Doji Star โดยมีวิธีการสังเกต ดังนี้

Morning Doji Star
จะประกอบไปด้วย 3 แท่งเทียน โดยมีรายละเอียด ดังนี้
- แท่งเทียนที่ 1 จะอยู่ในแนวโน้มขาลงขนาดใหญ่ (สีแดง)
- แท่งเทียนที่ 2 จะเป็นแท่งเทียน Doji ซึ่งจะเปิดช่องว่างต่ำกว่าแท่งเทียนที่ 1
- แท่งเทียนที่ 3 จะอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นขนาดใหญ่ (สีเขียว) โดยราคาปิดจะสูงกว่า 50% ของแท่งเทียนที่ 1 ซึ่งแสดงให้เห็นแรงเข้าซื้อที่มีมากขึ้น ทำให้เกิดการกลับตัวของแนวโน้มราคาจากขาลงเป็นขาขึ้น
Evening Doji Star
จะประกอบไปด้วย 3 แท่งเทียน โดยมีรายละเอียด ดังนี้
- แท่งเทียนที่ 1 จะอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นขนาดใหญ่ (สีเขียว)
- แท่งเทียนที่ 2 จะเป็นแท่งเทียน Doji ซึ่งจะเปิดช่องว่างเหนือกว่าแท่งเทียนที่ 1
- แท่งเทียนที่ 3 จะอยู่ในแนวโน้มขาลงขนาดใหญ่ (สีแดง) โดยราคาปิดจะต่ำกว่า 50% ของแท่งเทียนที่ 1 ซึ่งแสดงให้เห็นแรงเทขายที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้เกิดการกลับตัวของแนวโน้มราคาจากขาขึ้นเป็นขาลง
กลยุทธ์การเทรด Morning Doji Star (Bullish) | กลยุทธ์การเทรด Evening Doji Star (Bearish) |
จุดเข้า : เปิด Order Buy เหนือกว่าราคาปิดของแท่งเทียนที่ 3 จุดตัดขาดทุน : ปรับจุดตัดขาดทุนต่ำกว่าจุดต่ำสุดของแท่งเทียนที่ 2 (Doji) จุดทำกำไร : ปรับจุดทำกำไรตามแนวต้านหรือใช้เครื่องมือ Fibonacci ช่วยหาจุดทำกำไร | จุดเข้า : เปิด order sell ต่ำกว่าราคาปิดของแท่งเทียนที่ 3 จุดตัดขาดทุน : ปรับจุดตัดขาดทุนไว้สูงกว่าจุดสูงสุดของแท่งเทียนที่ 2 (Doji) จุดทำกำไร : ปรับจุดทำกำไรตามแนวรับหรือใช้เครื่องมือ Fibonacci ช่วยหาจุดทำกำไร |
4. Engulfing (Bullish Engulfing / Bearish Engulfing)
Engulfing Pattern คือ แท่งเทียนที่ 1 จะมีขนาดเล็กกว่าแท่งเทียนที่ 2 เหมือนกับว่าแท่งเทียนที่ 1 ถูกกลืนกินโดยแท่งเทียนที่ 2 นั่นเองค่ะ ซึ่ง Engulfing Pattern จะแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ ได้แก่ Bullish Engulfing และ Bearish Engulfing โดยมีวิธีการสังเกต ดังนี้

Bullish Engulfing
จะประกอบไปด้วย 2 แท่งเทียน โดยมีรายละเอียด ดังนี้
- แท่งเทียนที่ 1 จะอยู่ในแนวโน้มขาลงขนาดเล็ก (สีแดง)
- แท่งเทียนที่ 2 จะอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นขนาดใหญ่ (สีเขียว) ซึ่งทำการกลืนกินแท่งเทียนที่ 1 เพราะแรงเข้าซื้อมีมากกว่าแรงเทขาย ทำให้เกิดการกลับตัวของราคาจากแนวโน้มขาลงเป็นขาขึ้น
Bearish Engulfing
จะประกอบไปด้วย 2 แท่งเทียน โดยมีรายละเอียด ดังนี้
- แท่งเทียนที่ 1 จะอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นขนาดเล็ก (สีเขียว)
- แท่งเทียนที่ 2 จะอยู่ในแนวโน้มขาลงขนาดใหญ่ (สีแดง) ซึ่งกลืนกินแท่งเทียนที่ 1 เพราะแรงเทขายมีมากกว่าแรงเข้าซื้อ ทำให้เกิดการกลับตัวของราคาจากแนวโน้มขาขึ้นเป็นขาลง
กลยุทธ์การเทรด Bullish Engulfing | กลยุทธ์การเทรด Bearish Engulfing |
จุดเข้า : เปิด order buy เหนือกว่าราคาปิดของแท่งเทียนที่ 2 จุดตัดขาดทุน : ปรับจุดตัดขาดทุนต่ำกว่าจุดต่ำสุดของแท่งเทียนที่ 2 จุดทำกำไร : ปรับจุดทำกำไรตามแนวต้านหรือใช้เครื่องมือ Fibonacci ช่วยหาจุดทำกำไร | จุดเข้า : เปิด order Sell ต่ำกว่าราคาปิดของแท่งเทียนที่ 2 จุดตัดขาดทุน : ปรับจุดตัดขาดทุนสูงกว่าจุดสูงสุดของแท่งเทียนที่ 2 จุดทำกำไร : ปรับจุดทำกำไรตามแนวรับหรือใช้เครื่องมือ Fibonacci ช่วยหาจุดทำกำไร |
5. Three Outside (Three Outside Up / Three Outside Down)
Three Outside Pattern คือประกอบไปด้วย 3 แท่งเทียน ซึ่งใช้ยืนยันสัญญาณการกลับตัวของแนวโน้มราคา โดยจะแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ ได้แก่ Three Outside Up และ Three Outside Down โดยมีวิธีการสังเกต ดังนี้

Three Outside Up
ประกอบไปด้วย 3 แท่งเทียน โดยมีรายละเอียด ดังนี้
- แท่งเทียนที่ 1 จะอยู่ในแนวโน้มขาลง (สีแดง)
- แท่งเทียนที่ 2 จะอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น (สีเขียว) ซึ่งเนื้อเทียนจะมากกว่าแท่งเทียนที่ 1
- แท่งเทียนที่ 3 ยังคงอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น (สีเขียว) เพราะราคาปิดของแท่งเทียนที่ 3 จะสูงกว่าแท่งเทียนที่ 2 ซึ่งช่วยยืนยันว่าราคาอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นนั่นเอง
Three Outside Down
ประกอบไปด้วย 3 แท่งเทียน โดยมีรายละเอียด ดังนี้
- แท่งเทียนที่ 1 จะอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น (สีเขียว)
- แท่งเทียนที่ 2 จะอยู่ในแนวโน้มขาลง (สีแดง) ซึ่งเนื้อเทียนจะมากกว่าแท่งเทียนที่ 1
- แท่งเทียนที่ 3 ยังคงอยู่ในแนวโน้มขาลง (สีแดง) เพราะราคาปิดของแท่งเทียนที่ 3 จะต่ำกว่าแท่งเทียนที่ 2 ซึ่งช่วยยืนยันว่าราคาอยู่ในแนวโน้มขาลง
กลยุทธ์การเทรด Three Outside Up (Bullish) | กลยุทธ์การเทรด Three Outside Down (Bearish) |
จุดเข้า : เปิด order buy เหนือกว่าราคาปิดของแท่งเทียนที่ 3 จุดตัดขาดทุน : ปรับจุดตัดขาดทุนต่ำกว่าจุดต่ำสุดของแท่งเทียนที่ 2 จุดทำกำไร : ปรับจุดทำกำไรตามแนวต้านหรือใช้เครื่องมือ Fibonacci ช่วยหาจุดทำกำไร | จุดเข้า : เปิด order Sell ต่ำกว่าราคาปิดของแท่งเทียนที่ 3 จุดตัดขาดทุน : ปรับจุดตัดขาดทุนสูงกว่าจุดสูงสุดของแท่งเทียนที่ 2 จุดทำกำไร : ปรับจุดทำกำไรตามแนวรับหรือใช้เครื่องมือ Fibonacci ช่วยหาจุดทำกำไร |
6. Three Line Strike (Bullish Three Line Strike / Bearish Three Line Strike)
Three Line Strike Pattern คือ รูปแบบแท่งเทียนที่ประกอบไปด้วย 4 แท่งเทียน ซึ่งใช้เป็นการยืนยันแนวโน้มของราคาอย่างต่อเนื่องหรือเกิดการกลับตัว โดยแท่งเทียน 3 แท่งมักจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกัน แต่แท่งเทียนที่ 4 มักจะเคลื่อนไหวสวนทางกับ 3 แท่งก่อนหน้า โดย Three Line Strike Pattern มี 2 รูปแบบ ได้แก่ Bullish Three Line Strike และ Bearish Three Line Strike โดยมีวิธีสังเกต ดังนี้

Bullish Three Line Strike
จะประกอบไปด้วย 4 แท่งเทียน โดยมีรายละเอียด ดังนี้
- แท่งเทียนที่ 1-3 จะเคลื่อนไหวไปในแนวโน้มขาขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งราคาปิดของแต่ละแท่งเทียนจะสูงกว่าราคาปิดก่อนหน้า
- แต่แท่งเทียนที่ 4 จะกลับตัวจากแนวโน้มขาขึ้นเป็นขาลง โดยที่ราคาเปิดของแท่งเทียนที่ 4 จะสูงกว่าแท่งเทียนที่ 3 แต่ราคาปิดต่ำกว่าแท่งเทียนที่ 1
Bearish Three Line Strike
จะประกอบไปด้วย 4 แท่งเทียน โดยมีรายละเอียด ดังนี้
- แท่งเทียนที่ 1-3 จะเคลื่อนไหวไปในแนวโน้มขาลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งราคาปิดของแต่ละแท่งเทียนต่ำกว่าราคาปิดก่อนหน้า
- แต่แท่งเทียนที่ 4 กลับตัวจากแนวโน้มขาลงเป็นขาขึ้น โดยที่ราคาเปิดจะต่ำกว่าแท่งเทียนที่ 3 และราคาปิดต่ำกว่าแท่งเทียนที่ 1
กลยุทธ์การเทรด Bullish Three Line Strike | กลยุทธ์การเทรด Bearish Three Line Strike |
จุดเข้า : รอสัญญาณแท่งเทียนถัดไป (แท่งที่ 5) เพื่อช่วยยืนยันแนวโน้มจากขาลงเป็นขาขึ้น จากนั้นเปิด Order Buy บริเวณราคาปิดของแท่งเทียนที่ 4 เพราะมีการยืนยันว่าแนวโน้มราคาอยู่ในช่วงขาขึ้นอย่างต่อเนื่อง จุดตัดขาดทุน : ปรับจุดตัดขาดทุนต่ำกว่าจุดต่ำสุดของแท่งเทียนที่ 4 จุดทำกำไร : ปรับจุดทำกำไรตามแนวต้านหรือใช้เครื่องมือ Fibonacci ช่วยหาจุดทำกำไร | จุดเข้า : รอสัญญาณแท่งเทียนถัดไป (แท่งที่ 5) เพื่อช่วยยืนยันแนวโน้มจากขาขึ้นเป็นขาลง จากนั้นให้เปิด Order Sell บริเวณราคาปิดของแท่งเทียนที่ 4 เพราะมีการยืนยันว่าแนวโน้มราคาอยู่ในช่วงขาลงอย่างต่อเนื่อง จุดตัดขาดทุน : ปรับจุดตัดขาดทุนสูงกว่าจุดสูงสุดของแท่งเทียนที่ 4 จุดทำกำไร : ปรับจุดทำกำไรตามแนวรับหรือใช้เครื่องมือ Fibonacci ช่วยหาจุดทำกำไร |
7. Three Star (Three Star in the South / Three Star in the North)
Three Star Pattern เป็นรูปแบบของแท่งเทียนกลับตัวที่มีความน่าเชื่อถือสูง เพราะแท่งเทียนทั้ง 3 แท่งมักจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกันอย่างต่อเนื่องค่ะ โดย Three Star แบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ ได้แก่ Three Star in the South และ Three Star in the North โดยมีวิธีการสังเกต ดังต่อไปนี้

Three Star in the South
จะประกอบไปด้วย 3 แท่งเทียนซึ่งอยู่ในแนวโน้มขาลงอย่างต่อเนื่อง (สีแดง) โดยมีรายละเอียด ดังนี้
- แท่งเทียนที่ 1 จะมีเนื้อเทียนที่มีการทิ้งไส้ยาวลงไปด้านล่าง
- แท่งเทียนที่ 2 จะมีเนื้อเทียนที่เล็กกว่าแท่งเทียนที่ 1 โดยมีการทิ้งไส้ยาวแต่ไม่ได้สร้าง New Low ใหม่
- แท่งเทียนที่ 3 มีเนื้อเทียนสั้นกว่า 2 แท่งก่อนหน้า โดยแท่งที่ 3 ไม่ทิ้งไส้เทียนด้านบนและล่าง อีกทั้งราคาปิดต่ำกว่าแท่งที่ 2 ซึ่งมีแนวโน้มว่าราคาจะมีการกลับตัวเป็นแนวโน้มขาขึ้น เนื่องจากเกิดสัญญาณแรงเทขายอ่อนกำลัง
Three Star in the North
จะประกอบไปด้วย 3 แท่งเทียนซึ่งอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นอย่างต่อเนื่อง (สีเขียว) โดยมีรายละเอียด ดังนี้
- แท่งเทียนที่ 1 จะมีเนื้อเทียนที่มีการทิ้งไส้ยาวขึ้นไปด้านบน
- แท่งเทียนที่ 2 จะมีเนื้อเทียนที่มีขนาดเล็กกว่าแท่งเทียนที่ 1 โดยมีการทิ้งไส้ยาวแต่ไม่ได้สร้าง New High ใหม่
- แท่งเทียนที่ 3 มีเนื้อเทียนสั้นกว่า 2 แท่งก่อนหน้า โดยแท่งที่ 3 จะไม่ทิ้งไส้เทียนด้านบนและล่าง อีกทั้งราคาปิดจะสูงกว่าแท่งเทียนที่ 2 ซึ่งมีแนวโน้มว่าราคาจะมีการกลับตัวเป็นแนวโน้มขาลง เนื่องจากเกิดสัญญาณแรงเข้าซื้ออ่อนกำลัง
กลยุทธ์การเทรด Three Star in the South (Bullish) | กลยุทธ์การเทรด Three Star in the North (Bearish) |
จุดเข้า : เปิด Order Buy เหนือกว่าราคาเปิดของแท่งเทียนที่ 3 เนื่องจากเป็นการยืนยันแนวโน้มว่าราคาเกิดการกลับตัวเป็นแนวโน้มขาขึ้นต่อไป จุดตัดขาดทุน : ปรับจุดตัดขาดทุนไว้ต่ำกว่าจุดต่ำสุด (ราคาปิด) หรือไส้เทียนของแท่งเทียนที่ 1 จุดทำกำไร : ปรับจุดทำกำไรตามแนวต้านหรือใช้เครื่องมือ Fibonacci ช่วยหาจุดทำกำไร | จุดเข้า : เปิด Order Sell ต่ำกว่าราคาปิดของแท่งเทียนที่ 3 เนื่องจากเป็นการยืนยันแนวโน้มว่าราคาเกิดการกลับตัวเป็นแนวโน้มขาลง จุดตัดขาดทุน : ปรับจุดตัดขาดทุนไว้สูงกว่าจุดสูงสุดของแท่งเทียนที่ 3 จุดทำกำไร : ปรับจุดทำกำไรตามแนวรับหรือใช้เครื่องมือ Fibonacci ช่วยหาจุดทำกำไร |
8. Identical Three Crows (Bearish)
Identical Three Crows Pattern คือ รูปแบบแท่งเทียนที่พบเจอในแนวโน้มขาขึ้น ก่อนจะเกิดการกลับตัวเป็นแนวโน้มขาลงในระยะยาว ซึ่งมีการส่งสัญญาณการกลับตัวของแนวโน้มขาลงที่ค่อนข้างชัดเจน ทำให้เป็น Price Action ที่มีโอกาสเกิดการกลับตัวที่น่าเชื่อถือสูง โดย Identical Three Crows มีวิธีการสังเกต ดังนี้

Identical Three Crows : ประกอบไปด้วย 3 แท่งเทียน โดยทั้ง 3 แท่งเทียนอยู่ในแนวโน้มขาลงอย่างต่อเนื่อง (สีแดง) ซึ่งแสดงให้เห็นถึงแรงเทขายที่ยังคงมีอย่างต่อเนื่องและแข็งแกร่ง ทำให้ราคาเปิดและราคาปิดของแท่งเทียนทั้ง 3 แท่งค่อนข้างต่างกันค่ะ
Identical Three Crows (Bearish)
- แท่งเทียนที่ 1 จะมีเนื้อเทียนยาว สีแดงเข้ม ซึ่งแท่งเทียนที่ 1 แทบจะไม่ทิ้งไส้บนและล่าง
- แท่งเทียนที่ 2 จะมีขนาดเล็กกว่าแท่งเทียนที่ 1 โดยราคาเปิดและราคาปิดจะต่ำกว่าหรือเทียบเท่าแท่งเทียนที่ 1
- แท่งเทียนที่ 3 มีขนาดเล็กกว่าแท่งเทียนที่ 2 โดยราคาเปิดและราคาปิดจะต่ำกว่าหรือเทียบเท่าแท่งเทียนที่ 2
กลยุทธ์การเทรด Identical Three Crows (Bearish) |
จุดเข้า : เปิด Order Sell ต่ำกว่าราคาปิดหรือไส้เทียนของแท่งเทียนที่ 3 จุดตัดขาดทุน : ปรับจุดตัดขาดทุนไว้สูงกว่าจุดสูงสุดหรือไส้เทียนของแท่งเทียนที่ 1 จุดทำกำไร : ปรับจุดทำกำไรตามแนวรับหรือใช้เครื่องมือ Fibonacci ช่วยหาจุดทำกำไร |
9. Three White Soldiers (Bullish)
Three White Soldiers Pattern คือ รูปแบบแท่งเทียนที่พบเจอในแนวโน้มขาลง ก่อนจะเกิดการกลับตัวเป็นแนวโน้มขาขึ้นในระยะยาว ซึ่งมีการส่งสัญญาณการกลับตัวที่ค่อนข้างชัดเจนและมีความน่าเชื่อถือสูงค่ะ โดย Three White Soldiers (Bullish) มีวิธีการสังเกตดังนี้

Three White Soldiers Pattern : ประกอบไปด้วย 3 แท่งเทียน โดยทั้ง 3 แท่งเทียนอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นอย่างต่อเนื่อง (สีเขียว) ซึ่งแสดงให้เห็นถึงแรงเข้าซื้อที่ยังคงมีอย่างต่อเนื่องและมีความแข็งแกร่ง ทำให้ราคาเปิดและราคาปิดของแท่งเทียนทั้ง 3 แท่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ
Three White Soldiers Pattern (Bullish)
- แท่งเทียนที่ 1 จะมีเนื้อเทียนยาว สีเขียวเข้ม ซึ่งแท่งเทียนที่ 1 แทบจะไม่ทิ้งไส้เทียนด้านบนและล่าง
- แท่งเทียนที่ 2 จะมีเนื้อเทียนยาว สีเขียวเข้ม ซึ่งราคาเปิดจะสูงกว่า 50 % ของเนื้อเทียนแท่งเทียนที่ 1 อีกทั้งราคาปิดยังสูงกว่าแท่งเทียนที่ 1
- แท่งเทียนที่ 3 จะมีเนื้อเทียนยาว สีเขียวเข้ม ซึ่งราคาเปิดจะสูงกว่า 50% ของเนื้อเทียนแท่งเทียนที่ 2 อีกทั้งราคาปิดยังสูงกว่าแท่งเทียนที่ 2
กลยุทธ์การเทรด Three White Soldiers (Bullish) |
จุดเข้า : เปิด Order Buy เหนือกว่าราคาปิดของแท่งเทียนที่ 3 จุดตัดขาดทุน : ปรับจุดตัดขาดทุนไว้ต่ำกว่าจุดต่ำสุดของแท่งเทียนที่ 1 จุดทำกำไร : ปรับจุดทำกำไรตามแนวต้านหรือใช้เครื่องมือ Fibonacci ช่วยหาจุดทำกำไร |
10. Three Black Crows (Bearish)
Three Black Crows Pattern หรือที่เรียกว่า Three Black Soldier คือ รูปแบบแท่งเทียนที่พบเจอในแนวโน้มขาขึ้น ก่อนจะเกิดการกลับตัวเป็นแนวโน้มขาลงในระยะยาว ซึ่งมีการส่งสัญญาณการกลับตัวที่ค่อนข้างชัดเจนและมีความน่าเชื่อถือสูง โดย Three Black Crows Pattern มีวิธีการสังเกต ดังนี้

Three Black Crows : ประกอบไปด้วย 3 แท่งเทียน โดยแท่งเทียนทั้ง 3 แท่งอยู่ในแนวโน้มขาลงอย่างต่อเนื่อง (สีแดง) ซึ่งแสดงให้เห็นว่าแรงเทขายที่ยังคงมีอย่างต่อเนื่องและมีความแข็งแกร่ง ทำให้ราคาเปิดและราคาปิดของแท่งเทียนทั้ง 3 แท่งต่ำลงเรื่อย ๆ
Three Black Crows (Bearish)
- แท่งเทียนที่ 1 จะมีเนื้อเทียนยาว สีแดงเข้ม ซึ่งแท่งเทียนที่ 1 แทบจะไม่ทิ้งไส้เทียนด้านบนและล่าง
- แท่งเทียนที่ 2 จะมีเนื้อเทียนยาว สีแดงเข้ม ซึ่งราคาเปิดจะต่ำกว่า 50% ของแท่งเทียนแท่งที่ 1 และราคาปิดจะต่ำกว่าแท่งเทียนที่ 1
- แท่งเทียนที่ 3 จะมีเนื้อเทียนยาว สีแดงเข้ม ซึ่งราคาเปิดจะต่ำกว่า 50% ของแท่งเทียนที่ 2 และราคาปิดจะต่ำกว่าแท่งเทียนที่ 2
กลยุทธ์การเทรด Three Black Crows (Bearish) |
จุดเข้า : เปิด Order Sell ต่ำกว่าราคาปิดของแท่งเทียนที่ 3 จุดตัดขาดทุน : ปรับจุดตัดขาดทุนไว้สูงกว่าจุดสูงสุดของแท่งเทียนที่ 1 จุดทำกำไร : ปรับจุดทำกำไรตามแนวรับหรือใช้เครื่องมือ Fibonacci ช่วยหาจุดทำกำไร |
11. Inverted Hammer (Bullish)
Inverted Hammer Pattern คือ รูปแบบแท่งเทียนที่มีการกลับตัวจากแนวโน้มขาลงเป็นแนวโน้มขาขึ้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของแรงเข้าซื้อในการดันราคาขึ้นไปต้านแรงเทขาย ทำให้แนวโน้มมีโอกาสในการกลับตัวค่ะ อย่างไรก็ดี เทรดเดอร์ควรรอสัญญาณของแท่งเทียนแท่งถัดไป เพื่อแสดงให้เห็นสัญญาณของแนวโน้มของราคาที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น โดย Inverted Hammer (Bullish) มีวิธีการสังเกต ดังนี้

Inverted Hammer (Bullish)
Inverted Hammer (Bullish) : จะพบในแนวโน้มขาลงที่ชัดเจน (สีแดง) โดยมีการสังเกตคือ
- มีเนื้อเทียนสีเขียวเข้มในปริมาณเล็กน้อย
- มีการทิ้งไส้เทียนด้านบนยาว แต่ทิ้งไส้เทียนด้านล่างเล็กน้อย
- จะเกิดอยู่ใกล้กับราคาปิดต่ำสุดของวัน
กลยุทธ์การเทรด Inverted Hammer (Bullish) |
จุดเข้า : รอการยืนยันจากแท่งเทียนแท่งถัดไป ก่อนเปิด Order Buy เหนือกว่าราคาปิดหรือไส้เทียนด้านบนของ Inverted Hammer จุดตัดขาดทุน : ปรับจุดตัดขาดทุนไว้ต่ำกว่าจุดต่ำสุดของแท่งเทียน Inverted Hammer จุดทำกำไร : ปรับจุดทำกำไรตามแนวต้านหรือใช้เครื่องมือ Fibonacci ช่วยหาจุดทำกำไร |
12. Shooting Star (Bearish)
Shooting Star Pattern คือ รูปแบบแท่งเทียนที่มีการกลับตัวจากแนวโน้มขาขึ้นเป็นขาลง ซึ่งเกิดจากความพยายามของแรงเทขายในการดันราคาลงต้านแรงเข้าซื้อ ทำให้มีโอกาสเกิดการกลับตัวของแนวโน้มของราคาค่ะ ซึ่งพฤติกรรมของ Shooting Star จะตรงข้ามกับ Inverted Hammer (Bullish) นั่นเอง โดย Shooting Star (Bearish) มีวิธีการสังเกต ดังนี้

Shooting Star (Bearish)
Shooting Star (Bearish) : จะพบในแนวโน้มขาขึ้นที่ชัดเจน (สีเขียว) โดยมีการสังเกตคือ
- มีเนื้อเทียนสีแดงเข้มในปริมาณเล็กน้อย
- มีการทิ้งไส้เทียนด้านบนยาว แต่ทิ้งไส้เทียนด้านล่างเล็กน้อย
- จะเกิดอยู่ใกล้กับราคาปิดสูงสุดของวัน
กลยุทธ์การเทรด Shooting Star (Bearish) |
จุดเข้า : รอการยืนยันจากแท่งเทียนแท่งถัดไป ก่อนเปิด Order Sell ต่ำกว่าราคาปิดหรือไส้เทียนด้านบนของ Shooting Star จุดตัดขาดทุน : ปรับจุดตัดขาดทุนไว้สูงกว่าจุดสูงสุดของแท่งเทียน Shooting Star จุดทำกำไร : ปรับจุดทำกำไรตามแนวรับหรือใช้เครื่องมือ Fibonacci ช่วยหาจุดทำกำไร |
ข้อดี-ข้อเสียของการใช้ Price Action
ข้อดีของ Price Action คือ
- ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถดูกราฟได้ด้วยตาเปล่า
- สามารถวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของแนวโน้มของราคาได้อย่างชัดเจน
- สามารถใช้วิเคราะห์ได้ทุกตลาดการเงิน ไม่ว่าจะเป็นตลาด Forex, ตลาดหุ้น หรือตลาดคริปโต เป็นต้น
- ช่วยจับจังหวะการซื้อขายได้อย่างทันท่วงที
- ช่วยให้เข้าถึงตลาดได้แบบเรียลไทม์
- ใช้งานง่ายและไม่ยุ่งยากหรือซับซ้อนจนเกินไป
ข้อเสียของ Price Action คือ
- จำเป็นต้องอาศัยประสบการณ์ในการเทรดพอสมควร
- ควรใช้เครื่องมือทางเทคนิคอื่น ๆ เข้ามาช่วยในการยืนยันแนวโน้มของราคา
- ไม่เหมาะกับการเทรดในระยะยาว

⭐ คุณน้าแนะนำโบรกเกอร์คุณสมบัติเด่น!
การเลือกโบรกเกอร์ถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญ สำหรับการเทรด Forex ค่ะ
เพราะโบรกเกอร์จะพัฒนาระบบและเครื่องมือต่าง ๆ ที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้การเทรดของคุณเป็นไปอย่างราบรื่นให้ได้มากที่สุด
สำหรับเทรดเดอร์ที่ยังไม่มั่นใจว่า โบรกเกอร์ Forex แบบไหนดี?
คุณน้าได้รวบรวมการจัดอันดับของโบรกเกอร์ในทุกคุณสมบัติ เช่น สเปรดต่ำ, เทรดทอง หรือโบนัสฟรี

💡 คัมภีร์เริ่มต้น มือใหม่หัดเทรด
มือใหม่หัดเทรดที่ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดี? คุณน้าได้รวบรวมเนื้อหาสำคัญที่ถือเป็นจุดเริ่มต้น สำหรับการเทรด Forex มาไว้ให้แล้วที่นี่!
🔍 ตัวอย่างเนื้อหา มือใหม่หัดเทรดต้องรู้!
คำถามที่พบบ่อยที่เกี่ยวกับ Price Action
กลยุทธ์การใช้ Price Action Pattern ในการเทรด Forex มีอะไรบ้าง?
กลยุทธ์การใช้ Price Action ในการเทรด Forex จะแตกต่างกันออกไปตามกลยุทธ์การเทรดที่เทรดเดอร์เลือกใช้ ซึ่งกลยุทธ์ส่วนใหญ่ที่นิยมใช้ ได้แก่ การหา Breakout, การใช้ Price Action ร่วมกับ Indicator และการใช้ Price Action ร่วมกับ Candlestick Chart
Price Action ที่มีโอกาสกลับตัวสูง มีอะไรบ้าง?
- Harami Pattern
- Star Pattern
- Doji Star Pattern
- Engulfing Pattern
- Three Outside Pattern
- Three Line Strike Pattern
- Three Star Pattern
- Identical Three Crows
- Three White Soldiers Pattern
- Three Black Crows Pattern
- Inverted Hammer Pattern
- Shooting Star Pattern
ความแตกต่างระหว่าง Price Action และ Price Pattern คืออะไร?
Price Action คือ การศึกษาพฤติกรรมของกราฟแท่งเทียนทีละแท่งแบบเรียลไทม์ ในขณะที่ Price Pattern คือ การศึกษาวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของราคาด้วยการนำ Price Action หลาย ๆ แท่งมาเรียงต่อกัน เพื่อดูสัญญาณและคาดการณ์แนวโน้มในอนาคต ทำให้ Price Pattern มีความซับซ้อนมากกว่า Price Action นั่นเอง
สรุปเกี่ยวกับ Price Action Pattern หรือ PA Forex คืออะไร
สุดท้ายนี้ การเข้าใจในลักษณะของการเกิด Price Action ถือเป็นเรื่องสำคัญที่เราทุกคนควรรู้ไว้มาก ๆ เพราะสามารถนำไปปรับใช้ในการเทรดได้จริง แต่ทุกคนต้องฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้การเทรด Forex มีประสิทธิภาพมากขึ้นค่ะ
และนอกเหนือจากที่คุณน้าได้ยกตัวอย่างไป Price Action 12 แบบไปข้างต้นแล้ว ยังมี Price Action รูปแบบอื่น ๆ อีกมากมายที่รอให้คุณได้ศึกษาค่ะ ซึ่งคุณน้าหวังว่าทุกคนจะสามารถนำ Price Action ไปใช้ประโยชน์ในการเทรดได้นะคะ และบทความต่อไปคุณน้าจะพาทุกคนไปศึกษาการเงินและการลงทุนเรื่องใด รอติดตามกันให้ดีค่ะ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก : Investopedia
สำหรับใครที่สนใจอ่านรีวิวโบรกเกอร์ : Review Brokers
บทความในเรื่องการลงทุนที่น่าสนใจ : Investing
คลังความรู้จากคุณน้า : Knowledge