ปัจจุบันมีโบรกเกอร์ Forex ให้เลือกหลายราย ซึ่งเทรดเดอร์มือใหม่หลาย ๆ คน อาจสงสัยว่าเริ่มต้นเทรด Forex ยังไงดี? เพราะมีประเภทบัญชีให้เลือกเป็นจำนวนมาก แต่ไม่ต้องกังวล ปัญหาเหล่านี้จะหมดไป เพราะในบทความนี้ คุณน้าได้ทำวิธีการเปิดบัญชี Forex ง่าย ๆ ภายใน 7 ขั้นตอน สำหรับเทรดเดอร์มือใหม่มาไว้ให้แล้ว ไปหาคำตอบกันค่ะ!
*หมายเหตุ : บทความนี้เป็นเพียงบทความให้ความรู้เท่านั้น ไม่ได้เป็นการชักชวนเพื่อลงทุนแต่อย่างใด โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
สิ่งสำคัญที่ควรรู้ ก่อนเริ่มสมัครเทรด Forex
ก่อนที่เทรดเดอร์มือใหม่จะไปเรียนรู้กับ 7 ขั้นตอนในการเปิดบัญชี Forex คุณควรทำความรู้จักกับ 3 คำศัพท์พื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับตลาด Forex เพื่อให้เห็นภาพรวมของตลาดได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น โดยมีรายละเอียด ดังนี้ค่ะ
| คำศัพท์ Forex | ความหมาย |
| ตลาด Forex (Foreign Markets) | ตลาดที่มีการซื้อขายแลกเปลี่ยนสกุลเงินต่างประเทศ โดยมีการซื้อขายตลอด 24 ชั่วโมง |
| โบรกเกอร์ Forex | นายหน้าหรือคนกลางที่ทำหน้าส่งคำสั่งซื้อขายของเทรดเดอร์เข้าสู่ตลาด Forex |
| คู่เงิน Forex (Currency Pairs) | การจับคู่สกุลเงิน 2 คู่ที่ใช้ซื้อขายในตลาด Forex ยกตัวอย่างเช่น คู่สกุลเงินดอลลาร์และคู่สกุลเงินเยน หรือที่เรียกว่า USDJPY นั่นเอง |
นอกจากคำศัพท์ที่กล่าวไปข้างต้นแล้ว ยังมีคำศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับตลาด Forex อีกมากมายที่เทรดเดอร์มือใหม่ควรให้ความสนใจค่ะ โดยคุณน้าได้รวบรวมคำศัพท์ Forex สำคัญมาไว้ให้คุณแล้ว สามารถคลิกอ่านได้ที่บทความด้านล่างเลย
7 ขั้นตอนการเปิดบัญชี Forex สำหรับมือใหม่
สำหรับในบทความนี้ คุณน้าได้รวบรวม 7 ขั้นตอนในการเปิดบัญชี Forex สำหรับมือใหม่ เริ่มต้นเปิดบัญชีอย่างไรให้ปลอดภัย โดยมีรายละเอียด ดังนี้ค่ะ
ขั้นตอนที่ 1 : เลือกโบรกเกอร์ Forex
อันดับแรกของการสมัครเพื่อเทรด Forex ก็คือ คุณต้องทำการศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับตลาดและโบรกเกอร์ Forex ให้ดีเสียก่อนค่ะ เพราะอย่างที่ทราบกันดีว่า เทรดเดอร์ไม่สามารถส่งคำสั่งซื้อขายเข้าสู่ตลาด Forex ได้เองโดยตรง ทำให้เทรดเดอร์ต้องทำการซื้อขายผ่านคนกลาง นั่นก็คือ โบรกเกอร์ Forex นั่นเองค่ะ
ดังนั้นแล้ว เทรดเดอร์จำเป็นต้องเลือกโบรกเกอร์ที่ตอบโจทย์กับความต้องการและสไตล์การเทรดของตนเองให้ได้มากที่สุด เพื่อสิทธิประโยชน์ในการเทรดของคุณค่ะ
เกร็ดความรู้ : การเลือกโบรกเกอร์ Forex เลือกแบบไหนดี?

เนื่องจากในปัจจุบัน มีโบรกเกอร์ที่เปิดให้บริการในการซื้อขาย Forex เป็นจำนวนมาก แล้วอย่างนี้ คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าโบรกเกอร์ที่คุณเลือกนั้นมีความปลอดภัย ดังนั้น คุณน้าได้ทำ 5 เช็กลิสต์ง่าย ๆ มาฝากกันค่ะ โดยมีรายละเอียด ดังนี้
ความน่าเชื่อถือ : โบรกเกอร์ที่คุณสนใจจะต้องมีความน่าเชื่อถือและความปลอดภัย โดยเทรดเดอร์สามารถตรวจสอบได้จากใบอนุญาตและหน่วยงานกำกับดูแลที่ทางโบรกเกอร์ระบุไว้ค่ะ
ระบบการฝากถอนเงิน : จะสะท้อนให้เห็นถึงความโปร่งใสในการดำเนินธุรกรรมของโบรกเกอร์และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเทรดให้กับเทรดเดอร์ได้ดียิ่งขึ้น
ค่าธรรมเนียมในการเทรด : ค่าธรรมเนียมในการเทรดที่เหมาะสม จะสะท้อนให้เห็นถึงต้นทุนในการเทรดที่คุณต้องเสียให้ทางโบรกเกอร์ ซึ่งจะส่งผลต่อโอกาสในการทำกำไรของคุณด้วยเช่นกันค่ะ
ระบบเทรด Forex ที่มีเสถียรภาพ : จะสะท้อนให้เห็นถึงความน่าเชื่อถือของทางโบรกเกอร์ และที่สำคัญก็คือ จะช่วยจับจังหวะในการซื้อขายได้แม่นยำมากขึ้นอีกด้วยค่ะ โดยระบบเทรดที่มีเสถียรภาพสามารถสังเกตได้จาก 5 ข้อสำคัญ ดังนี้
- สามารถทำกำไรได้จริงในทุกสภาวะตลาด
- สามารถทำ BackTest ได้
- อินเทอร์เฟซใช้งานง่ายและไม่ซับซ้อนเกินไป
- มีเครื่องมือทางเทคนิคที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการเทรด
- สามารถดำเนินคำสั่งซื้อขายได้อย่างรวดเร็ว
Customer Support : การบริการลูกค้าที่ดีก็สะท้อนให้เห็นถึงความใส่ใจของทางโบรกเกอร์เช่นกันนะคะ เพราะในกรณีที่ลูกค้าเกิดปัญหาเกี่ยวกับการเทรดกะทันหัน การมี Customer Support ที่พร้อมแก้ไขปัญหาตลอดเวลา จะช่วยให้เทรดเดอร์ได้รับความช่วยเหลืออย่างทันท่วงทีนั่นเองค่ะ
ขั้นตอนที่ 2 : ทำความคุ้นเคยกับเงื่อนไขการเทรด
หลังจากที่เลือกโบรกเกอร์ที่คุณสนใจได้แล้ว ขั้นตอนต่อมาก็คือ การศึกษาและทำความคุ้นเคยกับเงื่อนไขในการเทรด เพื่อให้คุณสามารถเข้าใจภาพรวมของการบริการทั้งหมดก่อน โดยโบรกเกอร์แต่ละรายจะมีเงื่อนไขสำคัญที่คล้ายกัน ซึ่งมีรายละเอียดหลัก ดังนี้ค่ะ
Leverage
ในช่วงเวลาที่มีข่าวหรือว่าตลาดมีความผันผวนสูง ทางโบรกเกอร์มักจะมีการปรับ Leverage ให้ลดลงชั่วคราว เนื่องจากในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนอย่างรุนแรงนั้น เทรดเดอร์ส่วนใหญ่มีโอกาสเกิดการขาดทุนอย่างหนักไปถึงขั้นพอร์ตแตก เพราะระดับมาร์จิ้นไม่เพียงพอ ซึ่งสาเหตุหลักเป็นเพราะราคามีการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว จนทำให้เทรดเดอร์ไม่สามารถจับจังหวะในการซื้อขายได้และที่แย่ไปกว่านั้นก็คือ การซื้อขายเกิดความผิดพลาดค่ะ
และด้วยเหตุนี้เอง เพื่อเป็นการป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้น ทางโบรกเกอร์จึงปรับลดเลเวอเรจลงชั่วคราวเมื่อมีข่าวสารสำคัญ โดยโบรกเกอร์แต่ละรายจะกำหนดการให้เลเวอเรจที่แตกต่างกัน ซึ่งจะขึ้นอยู่กับนโยบายป้องกันบัญชีติดลบ และมาตรฐานในการบริหารความเสี่ยงภายใต้ใบอนุญาตและหน่วยงานที่กำกับดูแลโบรกเกอร์นั้น ๆ ค่ะ
“ดังนั้น การที่โบรกเกอร์แต่ละรายมีการปรับลดอัตราการให้เลเวอเรจลงชั่วคราว เมื่อตลาดเผชิญกับความผันผวนอย่างรุนแรง จึงไม่ใช่เรื่องแปลกค่ะ”
เวลาเปิด-ปิดในตลาด Forex
เทรดเดอร์หลายคนอาจจะคิดว่าเวลาเปิด-ปิดในตลาด Forex นั้นเหมือนกัน เพราะอิงมาจากไทม์โซนเดียวกัน แต่จริง ๆ แล้ว เวลาเปิด-ปิดของแต่ละโบรกเกอร์จะมีความแตกต่างกันค่ะ เพราะจะขึ้นอยู่กับเวลาของเซิร์ฟเวอร์และสภาพคล่องที่ทางโบรกเกอร์ให้บริการนั่นเอง
ขั้นตอนที่ 3 : กรอกแบบฟอร์มและรายละเอียดข้อมูลส่วนบุคคล
หลังจากที่คุณเลือกโบรกเกอร์ที่สนใจได้แล้ว ขั้นตอนต่อมาก็คือ การเปิดบัญชีกับทางโบรกเกอร์ โดยการกรอกแบบฟอร์มและรายละเอียดส่วนบุคคลค่ะ โดยข้อมูลที่ทางโบรกเกอร์จะให้กรอกก็จะเป็นข้อมูลทั่วไป ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว จะมีรายละเอียด ดังนี้
- ชื่อ-สกุล
- อีเมลหรือเบอร์โทรศัพท์
- ประเทศที่อยู่อาศัย
- รหัสผ่าน 6-15 ตัวอักษร
หลายคนอาจจะสงสัยว่า โบรกเกอร์จะเก็บข้อมูลของเราไปทำไม เหตุผลก็เป็นเพราะทางโบรกเกอร์จะพิจารณาคุณสมบัติของลูกค้าจากข้อมูลเบื้องต้นที่แนบมาค่ะ เพราะหากลูกค้าอายุต่ำกว่า 18 ปี หรืออาศัยอยู่ในประเทศที่ไม่ได้รองรับการให้บริการสำหรับโบรกเกอร์นั้น เทรดเดอร์ก็จะไม่สามารถทำการเทรดได้
ขั้นตอนที่ 4 : สร้างโปรไฟล์และส่งเอกสารเพื่อยืนยันตัวตน
หลังจากที่กรอกแบบฟอร์มและรายละเอียดส่วนบุคคลเบื้องต้นไปแล้ว โดยบางโบรกเกอร์จะให้คุณสร้างโปรไฟล์และส่งเอกสารเพื่อยืนยันตัวตนก่อน จึงจะสามารถเริ่มต้นเทรดได้ค่ะ
ในขณะที่บางโบรกเกอร์ก็จะให้คุณเลือกประเภทบัญชีเทรดก่อน ค่อยทำการยืนยันตัวตนภายหลังค่ะ สำหรับจุดประสงค์ที่ทางโบรกเกอร์ให้ยืนยันตัวตนนั้น ก็เพราะว่าเป็นการบ่งบอกว่าลูกค้ามีตัวตนอยู่จริง ไม่ได้แอบอ้างข้อมูลของใครขึ้นมา ดังนั้น จะเห็นได้ว่าการสร้างโปรไฟล์และการส่งเอกสารเพื่อยืนยันตัวตนมีความสำคัญเป็นอย่างมากค่ะ
เอกสารที่ใช้ในการยืนยันตัวตน มีอะไรบ้าง?
สำหรับเอกสารในการยืนยันตัวตนจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลัก ดังนี้ค่ะ
1. เอกสารยืนยัน ID
เอกสารยืนยัน ID ได้แก่ บัตรประชาชน, ใบขับขี่ หรือหนังสือเดินทาง ซึ่งเทรดเดอร์สามารถเลือกใช้อย่างใดอย่างหนึ่งได้ค่ะ
2. เอกสารยืนยันที่อยู่
โดยปกติแล้ว เอกสารที่ใช้ยืนยันที่อยู่มักจะเป็นสมุดบัญชีธนาคาร, Statement เงินเดือน และบิลใบแจ้งหนี้ต่าง ๆ ยกตัวอย่างเช่น บิลค่าน้ำ, บิลค่าไฟ, บิลค่าโทรศัพท์, บิลค่างวดรถ หรือบิลค่าบัตรเครดิต เป็นต้น
สำหรับเอกสารที่ใช้ในการยืนยันตัวตนนั้น จะต้องมีอายุไม่เกิน 6 เดือนหรือเป็นปัจจุบัน โดยบางโบรกเกอร์จะอนุญาตให้ใช้รูปภาพที่ถ่ายจากกล้องมือถือได้ หรือบางโบรกเกอร์อาจจะให้อัปโหลดไฟล์รูปภาพ ไม่ว่าจะเป็น PDF, PNG หรือ JPG ที่เห็นรายละเอียดของข้อมูลที่ครบถ้วน แต่ทั้งนี้ ก็จะขึ้นอยู่กับเงื่อนไขและเกณฑ์การพิจารณาของแต่ละโบรกเกอร์ด้วยนะคะ
ขั้นตอนที่ 5 : กรอกแบบฟอร์มเพื่อประเมินความเสี่ยงที่ยอมรับได้
และอีกหนึ่งสิ่งสำคัญในการเปิดบัญชี Forex ก็คือ การกรอกแบบฟอร์มและข้อตกลงในการเปิดเผยความเสี่ยงค่ะ เพราะอย่างที่รู้กันว่าการลงทุนนั้นมีความเสี่ยงเป็นอย่างมาก เทรดเดอร์จึงจำเป็นต้องรับทราบความเสี่ยงไว้ว่า คุณเป็นผู้ใช้บริการและเต็มใจลงทุนด้วยตนเอง
โดยโบรกเกอร์จะให้คุณอ่านขอบเขตการให้บริการว่า ทางโบรกจะให้บริการในส่วนไหน มีเงื่อนไขอย่างไร และหากการลงทุนของคุณเกิดข้อผิดพลาดหรือผิดนโยบายแล้วจะมีการจัดการอย่างไร ดังนั้น อย่าลืมอ่านเงื่อนไขการให้บริการให้ครบถ้วน เพื่อป้องกันการตกหล่นหรือผิดพลาดจากข้อมูล ก่อนจะทำการกดยอมรับเงื่อนไขค่ะ
เงื่อนไขการกรอกแบบฟอร์มยอมรับความเสี่ยง มีอะไรบ้าง?
สำหรับสาระสำคัญที่คุณจะต้องกรอกในแบบฟอร์มเพื่อยอมรับความเสี่ยง มีรายละเอียดคร่าว ๆ ดังนี้ค่ะ
การกำหนดเป้าหมายในการลงทุน : การประเมินตนเอง เพื่อให้ทราบว่าคุณเหมาะกับการเป็นเทรดเดอร์ประเภทไหน เช่น เทรดเดอร์ที่ชื่นชอบการเก็งกำไรระยะสั้น, เทรดเดอร์ที่ชื่นชอบการถือออเดอร์ข้ามคืน ไปจนถึงการเทรดระยะยาว เพื่อให้คุณสามารถเลือกเลเวอเรจที่เหมาะสมได้
การประเมินความเสี่ยงที่ยอมรับได้ : อย่างที่ทราบกันว่า การเทรด Forex หรือ CFD ล้วนมีความเสี่ยงสูง โดยเฉพาะกับสินทรัพย์อย่างคู่เงินและทองคำที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา และหากเทรดเดอร์เกิดลงทุนผิดพลาดหรือเกิดการขาดทุนขึ้นมา ทางโบรกเกอร์ไม่ได้มีส่วนในการรับผิดชอบค่ะ เพราะโบรกเกอร์เป็นเพียงคนกลางที่ทำหน้าที่อำนวยความสะดวกให้กับเทรดเดอร์ในการส่งคำสั่งซื้อขายเข้าสู่ตลาด Forex เท่านั้น การประเมินจุดเข้าออกจึงเป็นหน้าที่ของทางเทรดเดอร์เอง
ดังนั้นแล้ว จะเห็นได้ว่าการประเมินความเสี่ยงที่ยอมรับได้นั้น มีความสำคัญเป็นอย่างมาก และก่อนที่เทรดเดอร์จะเริ่มต้นเทรด อย่าลืมอ่านเงื่อนไขและประเมินความเสี่ยงที่ยอมรับได้ให้ละเอียดและรอบคอบ เพื่อรักษาสิทธิประโยชน์และเพิ่มประสิทธิภาพในการเทรดของคุณให้ได้มากที่สุดค่ะ
ขั้นตอนที่ 6 : เลือกบัญชีและฝากเงิน เพื่อเริ่มต้นเทรด
หลังจากที่คุณยื่นเอกสารและยอมรับความเสี่ยงเรียบร้อยแล้ว ต่อไปมาเลือกบัญชีและฝากเงินเพื่อเริ่มต้นเทรดกันค่ะ โดยคุณจะต้องเลือกเปิดบัญชีที่สนใจก่อนเป็นอันดับแรก แต่ถ้าใครที่อยากลองเทรดโดยไม่ใช้เงินจริงก็สามารถลองในบัญชี Demo ได้นะคะ
สำหรับประเภทบัญชี Forex นั้นมีหลายบัญชีด้วยกัน ดังนั้น คุณน้าขอยกตัวอย่าง 5 ประเภทบัญชีที่ได้รับความนิยม โดยมีข้อสังเกตที่แตกต่างกัน ดังนี้ค่ะ
ประเภทบัญชี Forex แบบไหนเหมาะกับคุณ?
| ประเภทบัญชี | ข้อสังเกตสำคัญ | เหมาะกับใคร |
| Standard/Classic | 1. สเปรดต่ำไปถึงปานกลาง 2. มีสภาพคล่องสูง 3. ไม่มีค่าคอมมิชชัน 4. ฝากเงินเริ่มต้นต่ำไปจนถึงปานกลาง | 1. มือใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้นเทรด 2. เทรดเดอร์ที่ต้องการความยืดหยุ่นในการเทรด |
| Micro และ Mini | 1. สเปรดค่อนข้างใกล้เคียงกับบัญชี Standard/Cent 2. ให้ Lot ขนาดเล็ก 3. ฝากเงินเริ่มต้นต่ำ | 1. เทรดเดอร์ที่มีต้นทุนจำกัด 2. มือใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้นเทรด |
| ECN/Raw | 1. สเปรดต่ำ 2. มีการคิดค่าคอมมิชชัน 3. ฝากเงินเริ่มต้นปานกลางไปจนถึงสูง | เทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์ โดยเฉพาะสายเก็งกำไรระยะสั้น (Scalping Trading) |
| Cent | 1. ฝากเงินเริ่มต้นต่ำ 2. ยอดเงินคูณเป็นหน่วย Cent 3. สเปรดสูงกว่าบัญชี Standard และ ECN เล็กน้อย 4. ให้ Lot ขนาดเล็ก | เทรดเดอร์ที่มีต้นทุนจำกัด โดยยอมรับความเสี่ยงในการเทรดได้ต่ำ |
| Pro | 1. ฝากเงินเริ่มต้นปานกลางไปจนถึงสูง 2. ค่าสเปรดต่ำ 3. บางโบรกมีการคิดค่าคอมมิชชัน | เทรดเดอร์มืออาชีพหรือเทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์ และชื่นชอบการเปิด-ปิดออเดอร์หลาย ๆ ครั้ง |
ฝากเงินขั้นต่ำเท่าไหร่ดี?
หลังจากที่คุณเลือกบัญชีที่สนใจเรียบร้อยแล้ว การฝากเงินขั้นต่ำก็เป็นสิ่งที่ควรพิจารณาเป็นข้อถัดไปค่ะ โดยการฝากเงินจะขึ้นอยู่กับแต่ละโบรกเกอร์ ซึ่งมีตั้งแต่ฝากเงินขั้นต่ำ $1 หรือมากกว่านั้น
อย่างไรก็ดี หากเทรดเดอร์ฝากเงินมากเกินไป ก็มีโอกาสที่พอร์ตจะขาดทุนอย่างรวดเร็ว เนื่องจากเทรดเดอร์มือใหม่ยังไม่มีความชำนาญในการเทรด ซึ่งอาจจะไม่ได้รู้จักกระบวนการในการเทรดที่มากพอ เพราะถึงแม้ว่าการฝากเงินจำนวนมากจะเพิ่มโอกาสในการทำกำไร แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่มากขึ้น
ดังนั้น คุณน้าขอแนะนำว่าฝากเงินขั้นต่ำ $10 กำลังเหมาะสำหรับเทรดเดอร์มือใหม่ เนื่องจากเทรดเดอร์มือใหม่ควรเรียนรู้การจับจังหวะในตลาดให้แม่นยำเสียก่อน เพื่อลดความเสี่ยงในการลงทุนให้ได้มากที่สุด หลังจากนั้น หากเริ่มเข้าใจภาพรวมของตลาดแล้ว ค่อยขยับเงินลงทุนเพิ่มขึ้นตามประสบการณ์ในการเทรดก็ไม่เสียหายค่ะ
ข้อควรระวังในการฝากเงิน
- ชื่อผู้ฝากเงินต้องเป็นชื่อเดียวกับเจ้าของบัญชีเทรด และตอนถอนเงินก็ต้องเป็นชื่อเดียวกัน
- ไม่ควรฝากแล้วถอนเงินออกมาทันที เพราะโบรกเกอร์อาจจะมองว่าเป็นการฟอกเงิน
ข้อสังเกตสำคัญ : การฝากเงินขั้นต่ำไม่มีกฎตายตัว ซึ่งจะขึ้นอยู่กับต้นทุนในการเทรด, สไตล์การเทรด และความเสี่ยงที่คุณยอมรับได้ ดังนั้น อย่าลืมบริหารพอร์ตการลงทุนให้ดี และที่สำคัญก็คือ อย่าลืมสำรองเงินเย็นไว้ใช้ในยามฉุกเฉินด้วยนะคะ
ขั้นตอนที่ 7 : เลือกแพลตฟอร์มในการซื้อขาย
มาถึงขั้นตอนการเลือกแพลตฟอร์มในการเทรดแล้วค่ะ โดยส่วนใหญ่แล้ว แพลตฟอร์มที่รองรับการเทรดจะใช้เป็น MetaTrader 4 หรือ MetaTrader 5 เพราะเป็นแพลตฟอร์มที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล ซึ่งจะรองรับแทบทุกโบรกเกอร์เลยค่ะ อีกทั้งยังมีฟีเจอร์มากมายให้เทรดเดอร์เลือกใช้ ทั้งการใช้ Indicator, เส้นแนวรับ–แนวต้าน และเครื่องมืออื่น ๆ อีกมากมาย โดยเทรดเดอร์สามารถประยุกต์ใช้ให้ตรงกับกลยุทธ์ในการเทรดแบบที่ตนเองถนัดได้เลยค่ะ
นอกจากจะใช้แพลตฟอร์ม MetaTrader 4 และ MetaTrader 5 แล้วนั้น โบรกเกอร์บางรายยังมีแอปพลิเคชันเฉพาะของโบรกเกอร์เอง ซึ่งรวมไปถึงการเทรดบนเว็บไซต์ (WebTerminal) ด้วยเช่นกันค่ะ

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับเปิดบัญชีโบรกเกอร์ Forex
โบรกเกอร์ ECN ไหนดีที่สุดในประเทศไทย?
โบรกเกอร์ ECN/Raw ที่ดีที่สุดในประเทศไทย จากการศึกษาและทดลองใช้งานจริงของทีมงานคุณน้าพาเทรด มีทั้งหมด 3 โบรกเกอร์ โดยมีรายชื่อ ดังนี้
- IUX : ค่าสเปรด 0.0 pips คิดค่าคอมมิชชัน $6/Lot และ Free Swap
- IC Markets : ค่าสเปรด 0.0 pips คิดค่าคอมมิชชัน $7/Lot และคิดค่า Swap
- Pepperstone : ค่าสเปรด 0.0 pips คิดค่าคอมมิชชัน $6/Lot และคิดค่า Swap
เทรด Forex ต้องมีเงินเท่าไหร่?
คุณสามารถเริ่มต้นเทรด Forex ได้ด้วยเงินขั้นต่ำตั้งแต่ $5 เป็นต้นไปค่ะ เพราะจุดเด่นของการเทรด Forex ก็คือ เทรดเดอร์สามารถใช้เงินทุนเริ่มต้นต่ำได้ เนื่องจากโบรกเกอร์หลาย ๆ ราย ให้บริการในด้านการฝากเงินขั้นต่ำ ตั้งแต่หลักร้อยไปจนถึงหลักพัน อีกทั้งยังมีการให้เลเวอเรจเพื่อเพิ่มโอกาสในการทำกำไรอีกด้วยค่ะ
อย่างไรก็ดี การเริ่มต้นเทรด Forex ที่ดีควรใช้เงินที่จะไม่ทำให้คุณเดือดร้อนในอนาคต หรือไม่ใช้เงินฉุกเฉินมาลงทุนค่ะ เพราะการเทรด Forex มีความเสี่ยงสูงนั่นเองค่ะ
บัญชีทดลอง Demo ดียังไง?
บัญชีทดลอง Demo เป็นบัญชีที่จะช่วยฝึกเทรด โดยที่เทรดเดอร์ไม่จำเป็นต้องฝากเงินเข้าไปในบัญชี แต่ก็สามารถฝึกฝนในตลาดจริงได้ ซึ่งประโยชน์อีกอย่างหนึ่งของบัญชีทดลองก็คือ เทรดเดอร์สามารถทดลองใช้ระบบเทรดของทางโบรกเกอร์เพื่อประกอบการตัดสินใจ ก่อนเริ่มต้นเทรดได้นั่นเอง

⭐ คุณน้าแนะนำโบรกเกอร์คุณสมบัติเด่น!
การเลือกโบรกเกอร์ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญ สำหรับการเทรด Forex ค่ะ เพราะโบรกเกอร์จะพัฒนาระบบและเครื่องมือต่าง ๆ ที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้การเทรดของคุณเป็นไปอย่างราบรื่นให้ได้มากที่สุด
สำหรับเทรดเดอร์ที่ยังไม่มั่นใจว่า โบรกเกอร์ Forex แบบไหนดี? คุณน้าได้รวบรวมการจัดอันดับของโบรกเกอร์ในทุกคุณสมบัติ เช่น สเปรดต่ำ, เทรดทอง หรือโบนัสฟรีมาไว้ให้คุณแล้ว!

💡 คัมภีร์เริ่มต้น มือใหม่หัดเทรด
มือใหม่หัดเทรดที่ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดี? คุณน้าได้รวบรวมเนื้อหาสำคัญที่ถือเป็นจุดเริ่มต้น สำหรับการเทรด Forex มาไว้ให้แล้วที่นี่!
🔍 ตัวอย่างเนื้อหา มือใหม่หัดเทรดต้องรู้!
สรุปการเปิดบัญชีโบรกเกอร์ Forex สำคัญยังไง
จะเห็นได้ว่าการเปิดบัญชี Forex มีขั้นตอนที่ควรพิจารณา ซึ่งคุณน้าแนะนำว่า อย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจเปิดบัญชีเทรดกับโบรกเกอร์ หากยังไม่ได้นำ 7 ขั้นตอนข้างต้นไปใช้ เพราะการไม่ศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด อาจจะทำให้คุณก้าวพลาดตั้งแต่เริ่มต้นค่ะ ดังนั้น อย่าลืมศึกษาข้อมูลให้ละเอียดและรอบคอบก่อนตัดสินใจเทรด ด้วยความปรารถนาดีจากทีมงานคุณน้าพาเทรดค่ะ
สำหรับใครที่สนใจอ่านรีวิวโบรกเกอร์ : Review Brokers
บทความในเรื่องการลงทุนที่น่าสนใจ : Investing
คลังความรู้จากคุณน้า : Knowledge








