หนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่ช่วยอำนวยความสะดวกในทุกธุรกรรม ไม่ว่าจะเป็นการซื้อขายสินค้าหรือลงทุนต่าง ๆ นั่นก็คือ Payment Gateway ระบบตัวกลางที่ทำให้การชำระเงินของคุณมีความรวดเร็วและปลอดภัยมากขึ้น หากคุณกำลังลังเลว่าควรเลือกใช้ Payment Gateway เจ้าไหนดี? ในบทความนี้คุณน้าจะพาไปรู้จักกับ Payment Gateway อย่างละเอียด พร้อมทั้งแนะนำวิธีเลือกช่องทางการชำระเงินออนไลน์ให้ตอบโจทย์กับธุรกรรมของคุณมากที่สุด หากพร้อมแล้วไปเริ่มกันเลยค่ะ!
*หมายเหตุ : บทความนี้เป็นเพียงบทความให้ความรู้เท่านั้น ไม่ได้เป็นการชักชวนเพื่อลงทุนแต่อย่างใด โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

Payment Gateway คืออะไร?

Payment Gateway คือ ช่องทางการชำระเงินออนไลน์ที่ทำหน้าที่เป็นสื่อกลางเชื่อมโยงระหว่างผู้ค้าและลูกค้า ช่วยให้การทำธุรกรรมต่าง ๆ มีความรวดเร็วและปลอดภัย โดยจะเห็นได้จากเว็บไซต์ E-Commerce ที่คุณเคยใช้บริการ ซึ่งมีระบบ Payment Gateway รองรับการชำระเงินผ่านช่องทางต่าง ๆ ทั้ง Mobile Banking, บัตรเดบิต/บัตรเครดิต เช่น Visa, Mastercard, UnionPay และ JCB รวมถึงวิธีชำระเงินอื่น ๆ ซึ่งผู้ให้บริการธุรกิจประเภทนี้มักถูกเรียกว่า “ผู้ให้บริการระบบชำระเงินออนไลน์” นั่นเองค่ะ

🔍 Payment Gateway แตกต่างจาก E-Wallet หรือไม่?
แม้ว่า Payment Gateway และ E-wallet จะเกี่ยวข้องกับการชำระเงินออนไลน์ แต่ทั้งสองมีระบบการทำงานที่แตกต่างกันค่ะ โดย E-Wallet คือ กระเป๋าเงินดิจิทัลที่ลูกค้าต้องเติมเงินเข้าไปก่อน เพื่อใช้จ่ายสินค้าและบริการออนไลน์ โดย E-Wallet จะทำหน้าที่ในการจัดเก็บข้อมูลในการทำธุรกรรมและดำเนินการชำระเงิน
ในทางกลับกัน Payment Gateway จะทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างลูกค้าและผู้ค้า โดยส่งข้อมูลและอนุมัติการทำธุรกรรม ช่วยให้ร้านค้าสามารถรองรับช่องทางชำระเงินหลากหลายรูปแบบได้อย่างสะดวกและครอบคลุมมากยิ่งขึ้น
หลักการทำงานของ Payment Gateway

ร้านค้าหรือโบรกเกอร์ Forex ส่วนใหญ่จะไม่มีช่องทางการชำระเงินของตัวเอง จึงต้องใช้ Payment Gateway เพื่อเป็นตัวกลางในการเชื่อมต่อการทำธุรกรรมระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย โดยหลักการทำงานของ Payment Gateway จะเป็นดังนี้ค่ะ
1. ลูกค้าทำการสั่งซื้อสินค้าหรือบริการ
เมื่อลูกค้าเลือกสินค้าหรือบริการที่ต้องการบนเว็บไซต์ร้านค้าหรือแพลตฟอร์มออนไลน์ จะต้องไปยังหน้าชำระเงินเพื่อเลือกวิธีการชำระเงินที่สะดวก เช่น โอนผ่านธนาคาร, บัตรเครดิต/เดบิต หรือ Mobile Banking
2. ข้อมูลการชำระเงินถูกส่งไปยัง Payment Gateway
เมื่อลูกค้ากรอกข้อมูลชำระเงินและยืนยันคำสั่งซื้อ ข้อมูลเหล่านี้จะถูกเข้ารหัสและส่งไปยัง Payment Gateway ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการถ่ายโอนข้อมูล
3. Payment Gateway ส่งข้อมูลไปยังตัวประมวลผลการชำระเงิน (Payment Processor)
ระบบ Payment Gateway จะส่งข้อมูลการทำธุรกรรมต่อไปยัง Payment Processor เพื่อดำเนินการตรวจสอบข้อมูลและเตรียมความพร้อมสำหรับการอนุมัติการชำระเงิน
4. Payment Processor ติดต่อธนาคารผู้ออกบัตรหรือธนาคารผู้รับเงิน
ข้อมูลธุรกรรมจะถูกส่งไปยังธนาคารของลูกค้าหรือบริษัทบัตรเครดิตเพื่อทำการตรวจสอบยอดเงินและป้องกันการฉ้อโกง จากนั้นธนาคารจะตอบกลับผลการอนุมัติหรือปฏิเสธ
5. ผลการอนุมัติการชำระเงินถูกส่งกลับมายัง Payment Gateway
หากการชำระเงินผ่านระบบ Payment Gateway จะได้รับการแจ้งเตือน จากนั้นข้อมูลจะถูกส่งกลับไปยังร้านค้าเพื่อยืนยันการชำระ
6. ร้านค้าดำเนินการจัดส่งสินค้าหรือให้บริการ
เมื่อตรวจสอบแล้วว่าการชำระเงินสำเร็จ ร้านค้าจะนำข้อมูลนี้ไปดำเนินการจัดส่งสินค้าหรือให้บริการแก่ลูกค้า
7. โอนเงินเข้าสู่บัญชีร้านค้า (Merchant Account)
หลังจากผ่านขั้นตอนอนุมัติและยืนยัน เงินจะถูกโอนไปยังบัญชีของร้านค้า (Merchant Account) โดยผ่านระบบธนาคารและตัวประมวลผลที่เกี่ยวข้องค่ะ
Payment Gateway สำคัญอย่างไร?
ความสำคัญของ Payment Gateway หลัก ๆ คือการเป็นตัวกลางที่เชื่อมต่อระหว่างผู้ค้าและลูกค้า ช่วยให้การชำระเงินเป็นเรื่องง่ายและสะดวกยิ่งขึ้น การมีตัวเลือก Payment Gateway หลากหลายช่องทาง ยังช่วยอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าแต่ละคนที่มีความชอบและวิธีชำระเงินแตกต่างกัน ซึ่งจะเพิ่มโอกาสในการใช้บริการของร้านค้าได้มากขึ้น อีกทั้ง Payment Gateway ยังมีประโยชน์อื่น ๆ ดังนี้
- เพิ่มความสะดวกสบายในการชำระเงินให้กับลูกค้า
- ช่วยเพิ่มยอดขายด้วยการรองรับช่องทางชำระเงินหลากหลาย
- ลดต้นทุนในการพัฒนาระบบของร้านค้า
- มีระบบป้องกันการฉ้อโกง (Fraud)
- รองรับสกุลเงินต่างประเทศ เหมาะกับธุรกิจที่ขยายตลาดไปยังต่างประเทศ
- เชื่อมต่อระบบอัตโนมัติ เช่น การอนุมัติการชำระเงินอัตโนมัติและการแจ้งสลิปทันที

คุณน้าอยากให้ลองนึกภาพตามว่า หากเราต้องการซื้อสินค้าสักชิ้น โดยที่ร้านค้า A มีช่องทางการชำระเงินมากถึง 5 ช่องทาง ขณะที่ร้านค้า B มีช่องทางการชำระเงินเพียง 1 ช่องทางเท่านั้น ทุกคนจะเลือกร้านค้าไหนคะ? แน่นอนว่า หากช่องทางการชำระเงินที่ร้านค้า B รองรับนั้น บังเอิญว่าคุณน้าใช้บริการอยู่ก็ดีไป แต่หากลูกค้าคนอื่น ๆ ไม่มีช่องทางนั้น ทำให้ยากต่อการซื้อสินค้าและบริการ มันก็จะทำให้เสียฐานลูกค้าไปนั่นเองค่ะ
อีกทั้ง หากใช้บริการโบรกเกอร์ Forex หรือร้านค้าต่างประเทศ ช่องทางการชำระเงินบางประเภทอาจจะมีค่าธรรมเนียมและเรทค่าเงินที่ถูกกว่า เพราะฉะนั้นแล้ว การทำความรู้จัก Payment Gateway ที่หลากหลายก็จะช่วยให้ทุกคนรู้จักช่องทางใหม่ ๆ ที่เหมาะสมและเพิ่มความคุ้มค่าได้มากขึ้นค่ะ

⭐ คุณน้าแนะนำโบรกเกอร์คุณสมบัติเด่น!
การเลือกโบรกเกอร์ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญ สำหรับการเทรด Forex ค่ะ เพราะโบรกเกอร์จะพัฒนาระบบและเครื่องมือต่าง ๆ ที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้การเทรดของคุณเป็นไปอย่างราบรื่นให้ได้มากที่สุด
สำหรับเทรดเดอร์ที่ยังไม่มั่นใจว่า โบรกเกอร์ Forex แบบไหนดี? คุณน้าได้รวบรวมการจัดอันดับของโบรกเกอร์ในทุกคุณสมบัติ เช่น สเปรดต่ำ, เทรดทอง หรือโบนัสฟรีมาไว้ให้คุณแล้ว!

💡 คัมภีร์เริ่มต้น มือใหม่หัดเทรด
มือใหม่หัดเทรดที่ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดี? คุณน้าได้รวบรวมเนื้อหาสำคัญที่ถือเป็นจุดเริ่มต้น สำหรับการเทรด Forex มาไว้ให้แล้วที่นี่!
🔍 ตัวอย่างเนื้อหา มือใหม่หัดเทรดต้องรู้!
Payment Gateway มีกี่รูปแบบ?
บางคนอาจจะรู้จัก Payment Gateway ที่เป็นธนาคารเสียส่วนใหญ่ แต่ในปัจจุบัน ธุรกิจประเภทนี้มีผู้ให้บริการ 2 รูปแบบ ดังนี้
1. ระบบชำระเงินที่เชื่อมกับธนาคารโดยตรง (Bank Payment Gateway)
Payment Gateway ลักษณะนี้จะเป็นการให้บริการจากธนาคารโดยตรง ซึ่งช่องทางนี้จะสร้างความน่าเชื่อถือให้แก่ผู้ใช้บริการได้มากกว่าช่องทางอื่น ๆ แต่อย่างไรก็ดี Payment Gateway ของธนาคารมักจะต้องมีการค้ำประกันเงินฝาก, ทุนจดทะเบียนที่มีข้อจำกัด และค่าธรรมเนียมรายปีในการใช้บริการ ดังนั้น Payment Gateway ที่เป็นธนาคารจึงเหมาะกับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนมากกว่าค่ะ
ตัวอย่าง Bank Payment Gateway
- K-Payment Gateway ของธนาคารกสิกรไทย
- Merchant iPay ของธนาคารกรุงเทพ
- Krungsri Biz Payment Gateway ของธนาคารกรุงศรี



2. ระบบชำระเงินผ่านตัวกลางที่ไม่ใช่ธนาคาร (Non-bank Payment Gateway)
Payment Gateway ลักษณะนี้จะเป็นการให้บริการจากตัวกลางอื่น (3rd Party) ที่ไม่ใช่ธนาคาร แม้จะสร้างความน่าเชื่อถือได้ไม่เท่ากับแบบแรก แต่มีจุดเด่น คือ สมัครและใช้งานง่าย, ไม่ต้องมีเงินฝากค้ำประกัน, ไม่มีค่าธรรมเนียมรายปี และรองรับสกุลเงินที่หลากหลาย ทำให้ Non-bank Payment Gateway ตอบโจทย์กับธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กเป็นอย่างมากค่ะ
ตัวอย่าง Non-bank Payment Gateway
- PayPal
- 2C2P
- Rabbit LINE Pay
- True Money Wallet
- Siampay
- Pay Solution
- Omise
Payment Gateway แบบ Bank และ Non-Bank ต่างกันอย่างไร?
| Bank Payment Gateway | Non-bank Payment Gateway | |
|---|---|---|
| จุดเด่น | • ความน่าเชื่อถือสูง • ค่าธรรมเนียมต่อรายการต่ำ • ชำระเงินผ่านธนาคารโดยตรง | • สมัครและใช้งานง่าย • ไม่ต้องมีเงินฝากค้ำประกัน • ไม่มีค่าธรรมเนียมรายปี |
| ข้อจำกัด | • บางธนาคารต้องมีเงินค้ำประกัน • มีค่าธรรมเนียมรายปี • ขั้นตอนสมัครซับซ้อน | • ค่าธรรมเนียมต่อรายการค่อนข้างสูง • ชำระเงินผ่านตัวกลางก่อนเข้าธนาคาร • ความน่าเชื่อถือมีหลายระดับ ต้องเลือกผู้ให้บริการที่มีมาตรฐาน |
| เหมาะกับใคร | • ธุรกิจที่ต้องการความน่าเชื่อถือสูง • ธุรกิจที่มีปริมาณ Transaction สูง • ผู้ประกอบการที่ต้องการประหยัดค่าธรรมเนียม | • ร้านค้าออนไลน์ SMEs และ Startups • ธุรกิจที่ต้องใช้ฟีเจอร์หลากหลาย เช่น ระบบสมาชิกหรือผ่อนชำระ |
แนะนำ 10 Payment Gateway เจ้าไหนดีที่คนไทยนิยมใช้งาน?
หลังจากที่เราทำความรู้จัก Payment Gateway กันไปแล้ว จะเห็นได้ว่า ระบบการชำระเงินที่มีธนาคารเป็นผู้ให้บริการน่าจะเป็นที่รู้จักและคุ้นหูคุ้นตาเป็นอย่างดี ดังนั้น ในบทความนี้คุณน้าจะมาแนะนำ Third Party Payment Gateway ในไทยที่โบรกเกอร์ Forex รวมถึงร้านค้าต่างประเทศชอบใช้บริการ เพื่อเป็นทางเลือกในการใช้งานให้ทุกคนค่ะ ซึ่ง 10 Payment Gateway ที่คนไทยนิยมใช้งานมีรายละเอียด ดังนี้
1. 2C2P

ข้อมูลทั่วไป 2C2P
2C2P ก่อตั้งขึ้นในปี 2003 มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่สิงคโปร์ซึ่งเป็น Payment Gateway ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในประเทศไทย อาจเรียกได้ว่า เป็นผู้นำระบบการชำระเงินในไทยเลยก็ว่าได้ เพราะ 2C2P มีพาร์ตเนอร์ทางธุรกิจมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการร่วมมือกับการร่วมทำแคมเปญกับโลตัสในการแจกของขวัญ (Gift Card) เป็นต้น
ดังนั้น จึงปฏิเสธไม่ได้ว่า หลาย ๆ คนอาจจะคุ้นหูคุ้นตามาบ้าง ซึ่ง 2C2P มีบริการหลักมากมาย อย่าง 2C2P Payment Gateway หรือบริการเสริมอื่น ๆ เช่น 123 และ easyBills เป็นต้น
⭐ จุดเด่นของ 2C2P
- เน้นให้บริการธุรกิจขนาดใหญ่
- มีการใช้รหัสผ่านในการชำระเงิน ทำให้มีความปลอดภัยสูง
- ค่าธรรมเนียมของ 2C2P อยู่ที่ 3.65%
⚠️ ข้อจำกัดของ 2C2P
- ธุรกิจเล็กอาจสมัครยาก
- ขั้นตอนตรวจสอบค่อนข้างเข้มงวด
- บางช่องทางไม่รองรับการคืนเงินอัตโนมัติ และต้องทำการคืนเงินแบบแมนวลเท่านั้น
2. PayPal

ข้อมูลทั่วไป PayPal
PayPal เป็น Payment Gateway ที่ก่อตั้งเมื่อปี 1998 โดยมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่แคลิฟอร์เนีย ผู้ให้บริการรายนี้ค่อนข้างได้รับความนิยมทั้งจากผู้ใช้งานในไทยและต่างประเทศ เนื่องจากรองรับสกุลเงินที่หลากหลาย อีกทั้งยังเน้นให้บริการธุรกิจในหลาย ๆ ระดับ รวมทั้ง แพลตฟอร์ม E-Commerce ต่าง ๆ ที่เข้าร่วมการชำระเงินผ่าน PayPal ไม่ว่าจะเป็น Agoda, eBay, Foodpanda และ Airbnb เป็นต้น
⭐ จุดเด่นของ PayPal
- รองรับสกุลเงินต่าง ๆ มากถึง 25 สกุล
- เรทอัตราแลกเปลี่ยนส่วนมากจะดีกว่าธนาคารไทย
- รองรับการชำระเงินหลากหลาย ทั้งจากบัตรเดบิต/บัตรเครดิต และ Internet Banking
- มีเทคโนโลยีป้องกันอาชญากรทางไซเบอร์
- ค่าธรรมเนียมของ PayPal อยู่ที่ 3.9% (ในประเทศไทย) และ 4.4% (นอกประเทศไทย)
⚠️ ข้อจำกัดของ PayPal
- การถอนเงินเข้าบัญชีธนาคารใช้เวลานาน 2-5 วัน
- บัญชีอาจถูก “จำกัดการใช้งาน” หากตรวจพบความผิดปกติ
3. Omise

ข้อมูลทั่วไป Omise
Omise (โอมิเซะ) เป็น Payment Gateway สัญชาติญี่ปุ่นที่ก่อตั้งในปี 2013 โดยทีมผู้พัฒนาชาวไทยและญี่ปุ่น หลังจากเปิดตัวครั้งแรกในประเทศไทยเมื่อปี 2015 ก็ขยายการเข้าถึงไปทั้งเอเชียและทั่วโลก เนื่องจากนำเสนอโซลูชันแบบครบวงจรที่ลดปัญหาและความยุ่งยากในการชำระเงิน ทำให้ Omise กลายเป็น Payment Gateway ที่ได้รับความนิยมมากอีกเจ้าหนึ่งค่ะ
ในปัจจุบัน Omise ให้บริการกับบริษัทชั้นนำ ไม่ว่าจะเป็น Pomelo, True, BMW และโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ เป็นต้น
⭐ จุดเด่นของ Omise
- ใช้งานง่าย ลดความซับซ้อนในการชำระเงิน
- เน้นให้บริการธุรกิจขนาดใหญ่ในไทย
- ไม่รองรับธุรกิจที่เข้าข่ายผิดกฎหมาย มีโอกาสเกิดการฉ้อโกงน้อย
- ทำธุรกรรมสะดวกและรวดเร็ว
- รองรับวิธีการชำระเงินที่หลากหลาย เช่น Vis/Mastercard, JCB, TrueMoney Wallet และ PromptPay เป็นต้น
- ค่าธรรมเนียมของ Omise อยู่ที่ 3.65% โดยไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม 7.0%
⚠️ ข้อจำกัดของ Omise
- ไม่สามารถให้บริการรับชำระผ่าน Alipay, WeChat Pay และระบบผ่อนชำระได้
- ไม่รองรับการชำระเงินสกุลเงินต่างประเทศ
4. Skrill

ข้อมูลทั่วไป Skrill
Skrill ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2001 ด้วยการชำระเงินที่สะดวกและรวดเร็ว ทำให้ Skrill ได้รับความนิยมจากเทรดเดอร์ทั่วโลก โดยเปิดให้บริการมากกว่า 100 ประเทศทั่วโลก ทำให้ Skrill กลายเป็นระบบธนาคารออนไลน์เพื่อการลงทุนดิจิทัลที่โบรกเกอร์ Forex ส่วนมากให้การรองรับค่ะ
⭐ จุดเด่นของ Skrill
- รองรับสกุลเงินต่าง ๆ มากกว่า 40 สกุลเงิน
- รองรับสกุลเงินดิจิทัล (Cryptocurrency)
- โบรกเกอร์ Forex ส่วนใหญ่นิยมเลือกใช้งาน
- ค่าธรรมเนียมของ Skrill อยู่ที่ 2.99%
⚠️ ข้อจำกัดของ Skrill
- อาจมีค่าธรรมเนียมไม่ใช้งาน (Inactive Fee)
- ค่าธรรมเนียมค่อนข้างสูงสำหรับบางธุรกรรม
- มีข้อจำกัดด้านวงเงินสำหรับบัญชีที่ยังไม่ยืนยันตัวตน

ถ้าคุณเคยเห็นช่องทาง Skrill และต้องการศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดก่อนเริ่มใช้งาน บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจทุกขั้นตอนอย่างง่ายดาย ครอบคลุมตั้งแต่พื้นฐานจนถึงวิธีการใช้งานอย่างครบถ้วน ห้ามพลาด!
5. Neteller

ข้อมูลทั่วไป Neteller
Neteller เป็น Payment Gateway สัญชาติแคนาดาที่ก่อตั้งในปี 1999 การถือกำเนิดของ Neteller ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมการชำระเงินทั่วโลกเลยทีเดียวค่ะ ดังนั้น จึงไม่ต้องกังวลในเรื่องของความน่าเชื่อถือ อย่างไรก็ดี กลุ่มเป้าหมายหลักที่เป็นลูกค้าของ Neteller คือ เทรดเดอร์ในตลาด Forex ค่ะ
⭐ จุดเด่นของ Neteller
- รองรับสกุลเงินต่าง ๆ มากถึง 22 สกุลเงิน
- รองรับการชำระเงินทั้งจากบัตรเดบิต/บัตรเครดิต
- สามารถใช้งาน Neteller ฟรี หากทำธุรกรรมทางการเงินทุก 6 เดือน
- หากเป็นบัญชี VIP สามารถทำธุรกรรมจำนวนมากได้โดยไม่มีข้อจำกัดในการถอนเงิน
⚠️ ข้อจำกัดของ Neteller
- มีค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมจากอัตราแลกเปลี่ยน
- การยืนยันตัวตนอาจใช้เวลานาน
- ค่าธรรมเนียมของ Neteller อยู่ที่ 4.99% ซึ่งค่อนข้างสูง
6. Perfect Money

ข้อมูลทั่วไป Perfect Money
Perfect Money เป็น Payment Gateway อีกเจ้าที่กำลังได้รับความนิยมในประเทศไทยค่ะ โดยปัจจุบัน Payment Money ให้บริการกว่า 200 ประเทศทั่วโลก อีกทั้งยังรองรับสกุลเงินท้องถิ่นอีกมากมาย ซึ่งเป้าหมายหลักของ Perfect Money คือ โบรกเกอร์ Forex และ Crypto Exchange ค่ะ
⭐ จุดเด่นของ Perfect Money
- รองรับสกุลเงินมากกว่า 50 สกุลเงิน
- โอนเงินได้สะดวกและรวดเร็ว
- รองรับการชำระเงินบนเว็บไซต์
- ค่าธรรมเนียมของ Perfect Money อยู่ที่ 1.99% (กรณีที่บัญชีผู้ใช้บริการไม่ได้รับการยืนยันตัวตน)
⚠️ ข้อจำกัดของ Perfect Money
- ขั้นตอนในการยืนยันตัวตนมีความซับซ้อน
- ไม่รองรับการโอนเงินเข้าบัตรเครดิตโดยตรง
7. Sticpay

ข้อมูลทั่วไป Sticpay
Sticpay เป็น Payment Gateway ที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1999 โดย Sticpay ให้บริการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ระหว่างประเทศแบบไร้ขีดจำกัด ซึ่งให้บริการกว่า 200 ประเทศทั่วโลก อีกทั้งยังให้บริการถอนเงินจากธนาคารท้องถิ่นถึง 7 ประเทศ รวมถึงในประเทศไทยด้วยค่ะ
นอกจากนี้ Sticpay ยังเน้นให้บริการธุรกิจในหลาย ๆ อุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นร้านค้าออนไลน์, เกมออนไลน์ และโบรกเกอร์ Forex เป็นต้น
⭐ จุดเด่นของ Sticpay
- การทำธุรกรรมมีความสะดวกและรวดเร็ว โดยใช้เวลาฝาก-ถอนเงินผ่าน Sticpay ไม่ถึง 1 นาที
- ค่าธรรมเนียมการโอนเงินต่ำกว่าธนาคารระหว่างประเทศ
- รองรับสกุลเงินต่าง ๆ มากกว่า 30 สกุลเงิน
- หากใช้ Stic Card จะสามารถถอนเงินออกจากตู้ ATM ทั่วโลกได้
- มีบริการ Forex Cashback จาก Sticpay สำหรับลูกค้าที่ใช้บริการโบรกเกอร์ Forex/CFD
- มีบริการ Online Gaming Cashback สำหรับลูกค้าที่ใช้บริการบริษัท Gaming Online
- ค่าธรรมเนียมของ Sticpay จะอยู่ที่ 1.0% – 5.0% (ขึ้นอยู่กับแต่ละช่องทางการชำระเงิน)
⚠️ ข้อจำกัดของ Sticpay
- อาจมีค่าธรรมเนียมแฝง (ขึ้นอยู่กับภูมิประเทศของลูกค้า)
8. Square

ข้อมูลทั่วไป Square
Square เป็น Payment Gateway ที่ถูกสร้างมาจากเจ้าของเดิมของ Twitter โดย Square ให้บริการการชำระเงิน ทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์
นอกจากนี้ Square ให้บริการเกี่ยวกับธุรกิจ E-Commerce มากมาย ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจร้านอาหาร, ธุรกิจรายย่อย และธุรกิจเกี่ยวกับความงาม เป็นต้น ซึ่งทำให้ได้รับความนิยมจากร้านค้าออนไลน์เป็นอย่างมาก
⭐ จุดเด่นของ Square
- เน้นให้บริการธุรกิจขนาดเล็กหลายระดับ
- พัฒนาระบบฮาร์ดแวร์และระบบ POS ที่ถูกออกแบบมาให้สามารถขายสินค้าได้ทุกที่
- ป้องกันระบบการชำระเงินด้วยระบบความปลอดภัยขั้นสูง
- รองรับการชำระเงินด้วย Contactless Card* และ Digital Wallet เพียงคุณแตะการชำระเงินผ่าน Iphone หรือ Andriod
- เมื่อร้านค้าส่งใบชำระการขายสินค้าให้แก่ผู้ซื้อจะต้องเสียค่าธรรมเนียมอยู่ที่ 3.3% + 30 Cent
- ค่าธรรมเนียมของ Square อยู่ที่ 2.6% + 10 Cent สำหรับรายบุคคล
- ค่าธรรมเนียมของ Square อยู่ที่ 2.9%-3.3% + 10 Cent สำหรับร้านค้าออนไลน์
⚠️ ข้อจำกัดของ Square
- ยังไม่รองรับบางสกุลเงินในเอเชีย
- ค่าธรรมเนียมอาจสูงตามยอดขายสูง เนื่องจากมีการกำหนดราคาแบบอัตราคงที่
Contactless Card คืออะไร?
Contactless Card คือ ชิปที่ฝังอยู่บนบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิตค่ะ เมื่อคุณมีการชำระสินค้าและบริการก็แค่แตะบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิตกับเครื่องชำระเงิน เพียงเท่านี้ก็จะสามารถชำระสินค้าและบริการได้แล้วค่ะ ซึ่งจะเห็นว่าช่วยอำนวยความสะดวกเป็นอย่างมาก

9. Adyen

ข้อมูลทั่วไป Adyen
Adyen (แอดเยน) เป็น Payment Gateway สัญชาติเนเธอร์แลนด์ที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2006 โดย Adyen ได้ร่วมมือกับบริษัทชั้นนำระดับโลก ไม่ว่าจะเป็น Microsoft, eBay, Facebook, Uber, Spotify, Booking.com และ H&M ในปัจจุบัน Adyen ให้บริการการชำระเงินออนไลน์มากกว่า 200 ประเทศทั่วโลก
⭐ จุดเด่นของ Adyen
- รองรับสกุลเงินมากกว่า 150 สกุลเงิน
- ไม่เก็บค่าธรรมเนียมรายเดือน
- การทำธุรกรรมมีความสะดวกและรวดเร็ว
- ค่าธรรมเนียมของ Adyen อยู่ที่ €0.11 + ช่องทางการชำระเงินที่เลือกใช้บริการ ซึ่งแต่ละช่องทางก็มีเปอร์เซ็นต์ที่แตกต่างกัน เช่น บัตร American Express จะมีค่าธรรมเนียมอยู่ที่ €0.11+ 3.95% เป็นต้น
⚠️ ข้อจำกัดของ Adyen
- ไม่เหมาะกับธุรกิจขนาดเล็ก เพราะมีการกำหนดขั้นต่ำในการทำธุรกรรมค่อนข้างสูง
- ขั้นตอนการสมัครค่อนข้างยุ่งยาก
- ค่าธรรมเนียมมีความซับซ้อนกว่าผู้ให้บริการอื่น ๆ
10. Stripe

ข้อมูลทั่วไป Stripe
Stripe เป็น Payment Gateway สัญชาติอเมริกันที่มีชื่อเสียงระดับโลก โดยเฉพาะในธุรกิจ E-Commerce และ SaaS ซึ่ง Strip ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2009 ในปัจจุบัน Stripe ให้บริการกว่า 47 ประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยด้วยค่ะ
อีกทั้งยังเป็นระบบชำระเงินให้กับบริษัทชั้นนำทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น Amazon, Shopify, Google, BMW และ Zara เป็นต้น นอกจากนี้ Stripe ยังเป็นระบบชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ที่โบรกเกอร์ Forex หลาย ๆ โบรกเลือกใช้บริการอีกด้วยค่ะ
⭐ จุดเด่นของ Stripe
- รองรับสกุลเงินมากกว่า 135 สกุลเงิน
- มีระบบความปลอดภัยสูง เนื่องจากได้รับมาตรฐาน PCI DSS Level 1 ซึ่งเป็นมาตรฐานความปลอดภัยสูงสำหรับการจัดการข้อมูลในบัตรเครดิต
- มีฟีเจอร์ที่ให้บริการกว่า 100 รายการ เช่น Stripe Payment, Billing, Radar และ Data Pipeline เป็นต้น
- ค่าธรรมเนียมของ Stripe ผ่าน PromptPay อยู่ที่ 1.65% + ฿10
⚠️ ข้อจำกัดของ Stripe
- การคืนเงิน (Refund) มีค่าธรรมเนียม
- ค่าธรรมเนียมของ Stripe ผ่านบัตร Visa/Mastercard, Apple Pay และ Google Pay อยู่ที่ 3.65% + ฿10
- ให้บริการเฉพาะ 39 ประเทศเท่านั้น
ข้อดีและข้อเสียของ Payment Gateway
ข้อดี
- สะดวก, รวดเร็ว และมีความปลอดภัย
- การทำรายการสามารถตรวจสอบได้
- สามารถทำรายการซื้อขายได้ตลอด 24 ชั่วโมง
- เป็นช่องทางที่มีความน่าเชื่อถือค่อนข้างสูง
- ช่องทางที่หลากหลายจะช่วยกระตุ้นยอดขายได้
- ใช้ในหลากหลายธุรกิจ ทั้งขนาดเล็ก, กลาง และใหญ่
- สามารถซื้อขายสินค้าหรือบริการจากต่างประเทศได้สะดวกมากขึ้น
ข้อเสีย
- มีค่าธรรมเนียมในการใช้บริการ
- หากร้านค้าต้องการใช้บริการ จะต้องมีเงินฝากค้ำประกันสำหรับ Bank Payment Gateway
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Payment Gateway
Payment Gateway ในไทยมีอะไรบ้าง?
Payment Gateway ในไทยมีหลายธนาคารที่ให้การรองรับ ยกตัวอย่างเช่น K-Payment Gateway, Merchant iPay และ Krungsri Biz Payment Gateway เป็นต้น
Payment Gateway เจ้าไหนดี ประจำปี 2025
- 2C2P
- PayPal
- Omise
- Skrill
- Neteller
- Perfect Money
- Sticpay
- Square
- Adyen
- Stripe
Payment Gateway แบบ Non-Bank มีอะไรบ้าง?
Payment Gateway แบบ Non-Bank จะเป็นการให้บริการจากตัวกลางอื่น (3rd Party) ที่ไม่ใช่ธนาคาร ซึ่งในปัจจุบันมีหลายผู้ให้บริการค่ะ ไม่ว่าจะเป็น PayPal, 2C2P และ Rabbit Line Pay เป็นต้น
Payment Gateway ของธนาคารกรุงเทพคืออะไร?
บริการรับชำระเงินออนไลน์ (Payment Gateway) ของธนาคารกรุงเทพ คือ Merchant iPay (Bangkok Bank Merchant iPay)
Payment Gateway ของกสิกรไทยคืออะไร?
บริการรับชำระเงินออนไลน์ (Payment Gateway) ของธนาคารกสิกรไทย คือ K-Payment Gateway
สรุป Payment Gateway เจ้าไหนดี
หลังจากอ่านจบแล้ว ทุกคนเริ่มเห็นถึงความสำคัญของ Payment Gateway กันหรือยังคะ? คุณน้าว่า มันมีประโยชน์มาก ๆ เลยค่ะ เพราะมันเข้ามาเป็นตัวกลางในการเชื่อมต่อร้านค้ากับลูกค้าให้สามารถชำระเงินได้อย่างไร้รอยต่อ แถม Payment Gateway ยังมีความน่าเชื่อถือสูงมาก เพราะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าได้อีกด้วย ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ธุรกิจต่าง ๆ เลือกใช้งาน Payment Gateway เป็นระบบในการชำระเงินค่ะ แล้วทุกคนคิดว่า 10 Payment Gateway ที่คุณน้าได้แนะนำในบทความนี้ Payment Gateway เจ้าไหนดีที่จะตอบโจทย์การใช้งานของคุณบ้างคะ
และในบทความหน้า คุณน้าจะพาทุกคนไปรู้จักกับการเงินและการลงทุนเรื่องใด โปรดติดตามกันให้ดีนะคะ
บทความในเรื่องการลงทุนที่น่าสนใจ : Investing
คลังความรู้จากคุณน้า : Knowledge








