คุยหุ้นสหรัฐ เจาะลึกทุกมุมมอง วันที่ 4 สิงหาคม 2025

คุยหุ้นสหรัฐ เจาะลึกทุกมุมมอง วันที่ 4 สิงหาคม 2025
Table of Contents

หุ้นสหรัฐถือเป็นหุ้นที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก ซึ่งการเคลื่อนไหวของหุ้นสหรัฐเพียงหนึ่งครั้งก็สามารถส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นอื่น ๆ ทั่วโลก ดังนั้น ในบทความนี้เราจะมาคุยหุ้น เจาะลึกปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยทางเทคนิคที่ส่งผลต่อตลาดหุ้นสหรัฐ รวมถึงความเสี่ยงและมุมมองในการลงทุน สายวิเคราะห์หุ้นสหรัฐห้ามพลาดบทความนี้!

คุยหุ้นสหรัฐวันนี้ (US 500/ S&P 500)

บทวิเคราะห์ภาพรวมปัจจัยพื้นฐานหุ้นสหรัฐ

ดัชนี S&P 500 ปิดสัปดาห์ก่อนหน้าด้วยการร่วงลงอย่างหนัก โดยลดลงถึง 1.60% ในวันศุกร์ รวมลดลง 2.36% ตลอดทั้งสัปดาห์ ซึ่งนับเป็นการร่วงลงในวันเดียวที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคมค่ะ ท่ามกลางความผิดหวังจากรายงานการจ้างงานของสหรัฐฯ และความตึงเครียดทางการค้าที่เพิ่มขึ้นจากการที่ประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศเก็บภาษีนำเข้าในวงกว้าง โดยรายงานการจ้างงานเดือนกรกฎาคมออกมาต่ำกว่าคาดมาก ซึ่งทำให้ตลาดกังวลว่าเศรษฐกิจอาจเริ่มชะลอตัว และก่อให้เกิดกระแสคาดการณ์ว่า เฟดอาจต้องลดดอกเบี้ยในการประชุมครั้งหน้า ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ดิ่งลง และความคาดหวังว่าดอกเบี้ยจะถูกปรับลดลง พุ่งขึ้นเกิน 86% ค่ะ

ความเชื่อมั่นของตลาดยิ่งสั่นคลอนจากการที่ทรัมป์ประกาศเก็บภาษีนำเข้าสูงสุดถึง 50% กับสินค้าจากหลายประเทศสำคัญ เช่น แคนาดา บราซิล อินเดีย และสหภาพยุโรป ซึ่งทำให้ดัชนีความผันผวน VIX ของ CBOE พุ่งขึ้นมากกว่า 22% ปิดที่ระดับ 20.41 สูงที่สุดตั้งแต่เดือนมิถุนายนค่ะ

แม้ว่าภาพรวมกำไรของบริษัทในดัชนี S&P 500 จะออกมาแข็งแกร่ง โดยเฉพาะในกลุ่มเทคโนโลยี แต่ก็ไม่สามารถพยุงตลาดไว้ได้ค่ะ ข้อมูลจาก LSEG ณ วันพฤหัสฯ ระบุว่าบริษัทในดัชนี S&P 500 ที่รายงานงบไตรมาส 2 ไปแล้ว 297 แห่ง มีการปรับประมาณการเติบโตกำไรขึ้นจาก 5.8% เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม มาอยู่ที่ 9.8% โดยประมาณ 81% ของบริษัทเหล่านี้มีกำไรสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ ช่วยให้ดัชนีลอยตัวใกล้กับระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ แรงหนุนหลักมาจากหุ้นเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง Microsoft (MSFT), Meta Platforms (META), Alphabet (GOOGL), Nvidia (NVDA) และ Amazon (AMZN) ซึ่งรวมกันคิดเป็นเกือบ 25% ของน้ำหนักดัชนี S&P 500 โดยหุ้นเหล่านี้เป็นหัวใจสำคัญของกระแสการลงทุนใน AI โดยเฉพาะ Microsoft และ Meta ที่รายงานผลประกอบการออกมาแข็งแกร่งจนสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน แม้จะมีการแข่งขันจากคู่แข่งอย่าง DeepSeek ของจีนก็ตามค่ะ

อย่างไรก็ตาม กลุ่มเทคโนโลยีก็มีส่วนทำให้ตลาดร่วงในสัปดาห์นี้ด้วยเช่นกัน โดย Amazon (AMZN) ดิ่งลงกว่า 8% หลังแผนก AWS รายงานการเติบโตต่ำกว่าคาด และแนวโน้มกำไรจากการดำเนินงานก็ไม่สดใสจนสร้างความกังวลให้กับนักลงทุน ส่วน Apple (AAPL) ก็ปรับลดลง 2.5% แม้รายได้จาก iPhone และบริการจะออกมาดี แต่ CEO Tim Cook ออกมาเตือนถึงต้นทุนเพิ่มเติมจากภาษีนำเข้าที่อาจสูงถึง 1.1 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่ Meta เองก็ร่วงลงเล็กน้อยในช่วงท้ายสัปดาห์ แม้จะได้แรงหนุนจากการถูกปรับเพิ่มอันดับโดย JPMorgan และกำไรที่แข็งแกร่งในช่วงต้นสัปดาห์ค่ะ

ด้านหุ้นตัวอื่น ๆ ที่เคลื่อนไหวโดดเด่นในดัชนี S&P 500 ได้แก่ Align Technology (ALGN) และ First Solar (FSLR) ที่ปรับขึ้นมากกว่า 5% ช่วยพยุงดัชนีไว้ได้บ้างค่ะ ในทางกลับกัน Eastman Chemical (EMN) ดิ่งลง 19% แตะจุดต่ำสุดในรอบห้าปี หลังรายงานผลประกอบการที่น่าผิดหวัง ขณะที่ UnitedHealth (UNH) ก็ร่วงเกือบ 5% แตะระดับต่ำสุดในรอบห้าปีเช่นกัน

อย่างไรก็ดี บรรยากาศโดยรวมในตลาดค่อนข้างอ่อนแอ โดยจำนวนหุ้นที่ปรับตัวลดลงมีมากกว่าหุ้นที่ดีดตัวเพิ่มขึ้นทั้งในตลาด NYSE และ Nasdaq ค่ะ ซึ่งกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยนำการปรับตัวลง และดิ่งลงเกือบ 3.6% กลายเป็นกลุ่มที่แย่ที่สุดของวัน แม้จะมีหุ้นบางตัวอย่าง Monolithic Power Systems (MPWR) ที่พุ่งขึ้นมากกว่า 10% แต่บรรยากาศโดยรวมก็ยังคงเป็นลบค่ะ

ก่อนหน้านี้ นักลงทุนจำนวนไม่น้อยได้ลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นเติบโตสูง เนื่องจากความกังวลเรื่องภูมิรัฐศาสตร์และเงินเฟ้อ แต่กำไรในไตรมาส 2 ที่ออกมาแข็งแกร่งก็ทำให้ความสนใจในกลุ่มเทคโนโลยีกลับมาอีกครั้งค่ะ อย่างไรก็ตาม นักลงทุนสถาบันยังถือหุ้นไม่มากเมื่อเทียบกับระดับปกติ ซึ่งหมายความว่ายังมีโอกาสที่ตลาดจะฟื้นตัวได้ หากมีการเข้าซื้ออย่างกว้างขวางมากขึ้น นักวิเคราะห์เตือนว่าช่วงเดือนสิงหาคมถึงกันยายนที่มักจะมีความผันผวน อาจนำมาซึ่งความปั่นป่วนเพิ่มขึ้น แต่ก็อาจเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนระยะยาวในการเข้าลงทุนในธีมการเติบโตที่ขับเคลื่อนด้วย AI ค่ะ

ในขณะเดียวกัน ดัชนี Philadelphia Semiconductor Index (SOX) ซึ่งประกอบด้วยหุ้นผู้ผลิตชิป AI อย่าง AMD, Qualcomm, Broadcom และ Micron กลับทำผลงานต่ำกว่าตลาดโดยรวม และยังไม่สามารถทำจุดสูงสุดใหม่ได้เลยตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2024 ทำให้นักวิเคราะห์ออกมาเตือนว่าอาจเป็นสัญญาณของกระแส AI ที่กำลังถึงจุดพีค และแนะนำให้นักลงทุนอย่าพึ่งพา Nvidia เป็นตัวชี้นำหลักเพียงอย่างเดียวค่ะ

อย่างไรก็ดี ดัชนี S&P 500 ก็ยังคงได้แรงหนุนจากกลุ่มหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ค่ะ นักวิเคราะห์มองว่าถึงแม้เศรษฐกิจบางส่วนของสหรัฐฯ จะยังคงเปราะบาง แต่ความแข็งแกร่งและขนาดของบริษัทเทคฯ ช่วยรองรับความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อและความเสี่ยงด้านการค้าได้ระดับหนึ่ง ขณะเดียวกัน ผลประกอบการจากหุ้นกลุ่ม Dow เช่น Disney (DIS), McDonald’s (MCD) และ Caterpillar (CAT) จะเป็นตัวชี้วัดสุขภาพของกลุ่มธุรกิจนอกภาคเทคโนโลยี หากออกมาดี ก็อาจช่วยหนุนแนวโน้มขาขึ้นของตลาด และพาดัชนี Dow ขึ้นสู่ระดับสูงสุดใหม่ได้ค่ะ

สรุปแล้ว แม้ดัชนี S&P 500 อาจร่วงลงในสัปดาห์ที่แล้วจากข้อมูลแรงงานที่อ่อนแอ ความกังวลด้านภาษีนำเข้า และการรายงานกำไรที่น่าผิดหวังจากหุ้นชั้นนำอย่าง Amazon แต่ดัชนียังคงมีพื้นฐานที่แข็งแกร่งจากกลุ่มเทคโนโลยีและ AI ซึ่งถึงแม้เส้นทางข้างหน้าอาจไม่ราบรื่นนัก แต่ด้วยภาวะนำตลาดของหุ้นเทคขนาดใหญ่ และแนวโน้มกำไรที่ยังคงเติบโต ก็ทำให้คุณน้ายังมองเห็นความหวังในตลาดอยู่ไม่น้อยเลยค่ะ

บทวิเคราะห์ภาพรวมทางเทคนิคหุ้นสหรัฐ

คุยหุ้นสหรัฐ วันที่ 4 สิงหาคม 2025

ดัชนี US500 (S&P 500) ก่อนหน้านี้เคลื่อนไหวอยู่ใกล้จุดสูงสุดตลอดกาล หลังจากที่ตลาดได้ปรับตัวขึ้นในวงกว้าง โดยได้รับแรงหนุนหลักจากหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ (Megacap) ค่ะ อย่างไรก็ตาม การอ่อนตัวลงล่าสุดของหุ้นบางตัว เช่น Amazon (AMZN) และ Meta (META) อาจบ่งชี้ถึงการชะลอตัวในระยะสั้น แต่ดัชนีโดยรวมก็ยังคงเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแนวโน้มขาขึ้นระยะยาวอย่างมั่นคงค่ะ

จากมุมมองทางเทคนิค แนวรับแรกอยู่ใกล้ระดับ 6,200 ส่วนแนวรับที่แข็งแกร่งกว่านั้นจะอยู่แถว ๆ ระดับ 6,100 ค่ะ ดัชนี RSI ยังอยู่ในระดับสูงแต่ยังไม่ถึงขั้นเข้าสู่ภาวะซื้อเกินไป (Overbought) จึงยังพอมีโอกาสให้ดัชนีปรับขึ้นต่อได้ หากสภาวะเศรษฐมหภาคและแนวโน้มกำไรของบริษัทต่าง ๆ ยังคงสนับสนุนค่ะ

หากดัชนีสามารถทะลุผ่านระดับ 6,300 ได้ จะเป็นการยืนยันแนวโน้มขาขึ้น และอาจเปิดทางให้ดัชนีเคลื่อนไปสู่ระดับ 6,400–6,450 ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้าค่ะ อย่างไรก็ตาม หากตลาดโดยรวมอ่อนแอลง โดยเฉพาะจากหุ้นขนาดใหญ่อย่าง Apple, Nvidia หรือ Microsoft แนวโน้มการปรับฐานในระยะสั้นก็อาจเกิดขึ้นได้ และอาจทดสอบแนวรับบริเวณ 6,100–6,150 ได้เช่นกันค่ะ

ทั้งนี้ ตราบใดที่ดัชนียังยืนเหนือระดับ 6,000 ได้ โครงสร้างภาพรวมในเชิงบวกก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงค่ะ คุณน้าแนะนำให้ติดตามปัจจัยภายในตลาด โดยเฉพาะการหมุนเวียนของกลุ่มหุ้น และความแข็งแกร่งของตลาดอย่างใกล้ชิด เพื่อใช้เป็นสัญญาณยืนยันแนวโน้มด้วยนะคะ

📍ข้อมูลประกอบการวิเคราะห์ทางเทคนิค (US 500/ S&P 500)

  • แนวรับสำคัญ : 6255.0, 6253.7, 6251.6            
  • แนวต้านสำคัญ : 6259.2, 6260.5, 6262.6

ข่าวที่ส่งผลกระทบต่อแนวโน้มหุ้นสหรัฐ

ข่าวที่ส่งผลกระทบต่อแนวโน้มหุ้นสหรัฐ

ที่มา : Forexfactory

กำหนดการรายงานผลประกอบการ

กำหนดการรายงานผลประกอบการ

ที่มา : TradingView

📍หุ้นสหรัฐที่น่าจับตามอง

  • Amazon (AMZN) : หลังจากปรับตัวลงมาภายหลังจากการรายงานผลประกอบการล่าสุด ตลาดตอบรับในเชิงลบกับการเติบโตของ AWS ที่ต่ำกว่าคาด ซึ่งยังช้ากว่าคู่แข่งรายอื่น ๆ อย่างชัดเจน ทางเทคนิคตอนนี้ AMZN กำลังเคลื่อนไหวอยู่ใกล้ ๆ แนวรับสำคัญระหว่าง 210–215 ดอลลาร์ ถ้าหลุดต่ำกว่า 210 ดอลลาร์ จุดรับถัดไปจะอยู่ที่ระดับจิตวิทยาประมาณ 200 ดอลลาร์ค่ะ อย่างไรก็ตาม ถ้าความเชื่อมั่นกลับมา และ AWS สามารถสร้างแรงดึงดูดกลับคืนมาได้อีกครั้ง หุ้นก็มีโอกาสรีบาวด์กลับไปทดสอบแนวต้านแถว 230–240 ดอลลาร์ได้ค่ะ ทั้งนี้ แนวโน้มขาขึ้นระยะกลางยังคงอยู่ ถ้ายังไม่หลุด 200 ดอลลาร์ และนักวิเคราะห์หลายสำนักก็ยังคงมองเป้าราคาภายใน 12 เดือนข้างหน้าไว้ที่ประมาณ 259–262 ดอลลาร์ค่ะ
  • Apple (AAPL) : ปรับตัวลงหลังจากความตื่นเต้นของนักลงทุนลดลงหลังรายงานผลประกอบการค่ะ แม้จะปรับลงมา แต่โครงสร้างทางเทคนิคยังถือว่าแข็งแรงดีนะคะ โดยมีแนวรับแข็งแกร่งอยู่ที่ช่วง 200–205 ดอลลาร์ และ RSI รายวันก็เริ่มเข้าสู่ภาวะ Oversold เล็กน้อย ถ้ามีแรงซื้อกลับเข้ามา ก็มีโอกาสรีบาวด์ไปทดสอบแนวต้านแถว 210–213 ดอลลาร์ได้อีกครั้ง แต่ถ้าหลุด 200 ดอลลาร์ อาจมีโอกาสไหลลงต่อไปแถว 190 ดอลลาร์ได้เช่นกัน สำหรับตอนนี้ AAPL อยู่ในช่วงสะสมกำลังค่ะ โดยมีแนวโน้มเป็นกลางไปจนถึงทางบวก
  • Microsoft (MSFT) : ได้แรงหนุนจากการเติบโตของธุรกิจ AI และบริการคลาวด์ Azure ที่แข็งแกร่งมาก ๆ ค่ะ ทางเทคนิคแล้ว ตอนนี้ MSFT กำลังพักตัวเหนือแนวรับสำคัญที่ 520 ดอลลาร์ หากทะลุแนวต้าน 535–540 ดอลลาร์ ขึ้นไปได้อย่างชัดเจน ก็จะเปิดทางให้เกิดขาขึ้นรอบใหม่ โดยมีเป้าหมายถัดไปแถว 550 ดอลลาร์ หรือมากกว่านั้นค่ะ แต่ถ้าหลุดต่ำกว่า 520 ดอลลาร์ อาจเสี่ยงที่จะลงไปทดสอบแนวรับระยะยาวที่ 500 ดอลลาร์ โครงสร้างทางเทคนิคโดยรวมยังเป็นบวกอยู่ โดยเฉพาะถ้าสถานการณ์เศรษฐกิจมหภาคยังคงเอื้ออำนวยค่ะ
  • Meta Platforms (META) : แนวโน้มโดยรวมยังเป็นขาขึ้นชัดเจนค่ะ ด้วยแรงหนุนจากผลประกอบการที่ดี และรายได้จากโฆษณาที่ใช้ AI ซึ่งเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทางเทคนิคตอนนี้ META กำลังเข้าใกล้แนวรับที่ 745 ดอลลาร์ ขณะที่แนวต้านอยู่แถว ๆ 767 ดอลลาร์ ถ้าผ่านแนวต้าน 775 ดอลลาร์ขึ้นไปได้ ก็อาจดึงดูดแรงซื้อจากนักลงทุนเชิงโมเมนตัม และส่งผลให้ราคาพุ่งขึ้นต่อไปยัง 800 ดอลลาร์ได้ค่ะ แต่ถ้าไม่สามารถยืนเหนือ 740 ดอลลาร์ ได้ ก็มีความเสี่ยงที่จะอ่อนตัวกลับมาบริเวณ 720–725 ดอลลาร์ได้เช่นกัน โดยรวมคุณน้ามองว่าโครงสร้างยังเป็นบวกแบบต้องใช้ความระมัดระวังอยู่ค่ะ
  • Nvidia (NVDA) : ยังคงเป็นตัวชี้วัดสำคัญของกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ด้าน AI และความเปลี่ยนแปลงใด ๆ ของกลุ่มนี้ ก็มักจะสะท้อนให้เห็นในราคาของ NVDA อย่างรวดเร็ว ทางเทคนิคแล้ว แนวรับระยะสั้นอยู่ที่ 170–172 ดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นแนวที่สำคัญมาก ถ้ายังยืนระดับนี้ไว้ได้ โครงสร้างขาขึ้นจะยังคงอยู่ โดยหากทะลุแนวต้าน 176–177 ดอลลาร์ได้ ก็มีโอกาสไปต่อในแนวโน้มขาขึ้นได้อีกค่ะ แต่หากหลุด 170 ดอลลาร์ลงมา ก็อาจต้องระวังแรงขายต่อเนื่องลงไปแถว 160 ดอลลาร์ โดยรวมแล้วความผันผวนยังสูงอยู่ค่ะ แต่ถ้ายังยืนเหนือ 170 ดอลลาร์ ได้ คุณน้าก็มองว่าทิศทางระยะกลางยังเป็นบวกค่ะ

🔍คุณน้าแนะนำเทรดหุ้น CFD ไปกับโบรกเกอร์ IUX

เทรดหุ้น CFD กับ IUX โบรกเกอร์หุ้นค่าธรรมเนียมถูก

IUX มีการให้บริการซื้อขายหุ้น CFD ประกอบไปด้วยหุ้นกลุ่ม Magnificent Seven (M7) อีกทั้งยังมีหุ้นให้เลือกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Coca Cola, Adobe, Alibaba, McDonalds Incorporated และ Netflix เป็นต้น ทำให้เหมาะสำหรับเทรดเดอร์มือใหม่และเทรดเดอร์รายย่อยที่มีต้นทุนจำกัดแล้วต้องการซื้อขายหุ้นระดับโลก

สรุปคุยหุ้นสหรัฐและแนวโน้มในการลงทุน (US 500/ S&P 500)

จุดน่าเข้า Buy

  • Buy/ Long 1 : หากมีการแตะแนวรับที่ช่วงราคา 6247.0 – 6255.0 แต่ไม่สามารถทะลุแนวรับที่ 6255.0 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 6260.3 และ SL ที่ประมาณ 6243.0 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
  • Buy/ Long 2 : หากสามารถทะลุแนวต้านที่ช่วงราคา 6259.2 – 6267.2 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 6272.0 และ SL ที่ประมาณ 6251.0 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้                                          

จุดน่าเข้า Sell

  • Sell/ Short 1 : หากมีการแตะแนวต้านที่ช่วงราคา 6259.2 – 6267.2 แต่ไม่สามารถทะลุแนวต้านที่ 6259.2 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 6254.8 และ SL ที่ประมาณ 6271.2 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
  • Sell/ Short 2 : หากสามารถทะลุแนวรับที่ช่วงราคา 6247.0 – 6255.0 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 6244.0 และ SL ที่ประมาณ 6263.0 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้

คำเตือน

บทวิเคราะห์นี้ใช้สำหรับการศึกษาข้อมูลของหุ้นสหรัฐเบื้องต้นเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลของสินทรัพย์และศึกษาความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องอย่างละเอียด ประกอบกับศึกษาแนวโน้มหุ้นและข่าวสหรัฐก่อนตัดสินใจลงทุน


สำหรับใครที่สนใจอ่านรีวิวโบรกเกอร์ : Review Brokers

บทความในเรื่องการลงทุนที่น่าสนใจ : Investing

คลังความรู้จากคุณน้า : Knowledge

Picture of คุณน้า
คุณน้า
Recent Post
บทวิเคราะห์คู่เงิน USDRUB 10 ตุลาคม 2025
บทวิเคราะห์ USDRUB วันที่ 10 ตุลาคม 2025

พบกับวิเคราะห์ USDRUB ที่สายเทรดสั้นห้ามพลาด การวิเคราะห์คู่เงิน Forex ดูแนวโน้มราคาล่าสุด สำหรับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยทางเทคนิค

วิเคราะห์ GBPUSD ดูแนวโน้มราคาล่าสุด วันที่ 10 ตุลาคม 2025
วิเคราะห์ GBPUSD ดูแนวโน้มราคาล่าสุด วันที่ 10 ตุลาคม 2025

พบกับวิเคราะห์ GBPUSD ที่สายเทรดสั้นห้ามพลาด การวิเคราะห์คู่เงิน Forex ดูแนวโน้มราคาล่าสุด สำหรับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยทางเทคนิค

บทวิเคราะห์คู่เงิน USDCHF 9 ตุลาคม 2025
บทวิเคราะห์ USDCHF วันที่ 9 ตุลาคม 2025

พบกับวิเคราะห์ USDCHF ที่สายเทรดสั้นห้ามพลาด การวิเคราะห์คู่เงิน Forex ดูแนวโน้มราคาล่าสุด สำหรับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยทางเทคนิค

ทางเว็บไซต์ คุณน้าพาเทรด
ได้มีการใช้คุกกี้เพื่อช่วยปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพให้เว็บไซต์ของเราดียิ่งขึ้น


Privacy Policy