หุ้นสหรัฐถือเป็นหุ้นที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก ซึ่งการเคลื่อนไหวของหุ้นสหรัฐเพียงหนึ่งครั้งก็สามารถส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นอื่น ๆ ทั่วโลก ดังนั้น ในบทความนี้เราจะมาคุยหุ้น เจาะลึกปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยทางเทคนิคที่ส่งผลต่อตลาดหุ้นสหรัฐ รวมถึงความเสี่ยงและมุมมองในการลงทุน สายวิเคราะห์หุ้นสหรัฐห้ามพลาดบทความนี้!
คุยหุ้นสหรัฐวันนี้ (US30 / DJIA)
บทวิเคราะห์ภาพรวมปัจจัยพื้นฐานหุ้นสหรัฐ
ดัชนีดาวโจนส์ปิดสัปดาห์ที่ผ่านมาด้วยการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง โดยบวกไป 207 จุด หรือ 0.47% เป็นผลจากความคาดหวังที่เพิ่มขึ้นว่าเฟดอาจเริ่มลดอัตราดอกเบี้ยได้เร็วที่สุดในเดือนกันยายนนี้ค่ะ ท่ามกลางความเชื่อมั่นในตลาดก็ยิ่งหนุนแรงขึ้นหลังจากประธานาธิบดีทรัมป์เสนอชื่อ Stephen Miran ซึ่งเป็นที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจให้เข้าร่วมคณะกรรมการเฟด ซึ่งตลาดมองว่าเป็นสัญญาณแบบผ่อนคลาย ส่งผลให้โอกาสที่เฟดจะลดดอกเบี้ย 0.25% ในเดือนหน้าเพิ่มขึ้นแตะเกือบ 90% ค่ะ
ทั้งนี้ Apple (AAPL) เป็นหุ้นที่โดดเด่นที่สุดในดัชนีดาวโจนส์ โดยพุ่งขึ้น 4.2% ในวันศุกร์ และปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 13.3% ตลอดทั้งสัปดาห์ ซึ่งถือว่าเป็นสัปดาห์ที่ดีที่สุดของแอปเปิลตั้งแต่ปี 2020 หลังจากประกาศแผนลงทุนในสหรัฐฯ เพิ่มอีก 100 พันล้านดอลลาร์ในช่วง 4 ปีข้างหน้าค่ะ หุ้นที่ช่วยหนุนดัชนีเพิ่มเติม ได้แก่ Cisco Systems (CSCO) ที่บวกขึ้น 2.7% ทะยานแตะระดับสูงสุดในรอบ 5 ปี และ UnitedHealth Group (UNH) ซึ่งเพิ่มขึ้น 2.56% ค่ะ ส่วนหุ้นที่ถ่วงดัชนี ได้แก่ IBM (IBM) ที่ร่วงลง 3.15% McDonald’s (MCD) ที่ลดลง 0.74% และ Walt Disney (DIS) ที่ปรับตัวลดลง 0.4% ค่ะ
ตลอดทั้งสัปดาห์นี้ ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.3% ซึ่งถือว่าทำผลงานได้ดีกว่าปกติเมื่อเทียบกับแนวโน้มตามฤดูกาลในเดือนสิงหาคม อย่างไรก็ตาม การประกาศตัวเลข CPI (ดัชนีราคาผู้บริโภค) ที่จะมีขึ้นในวันอังคารนี้อาจนำมาซึ่งความผันผวน หากตัวเลขเงินเฟ้อออกมาสูงกว่าที่คาด อาจทำให้ตลาดต้องทบทวนความหวังเรื่องการลดดอกเบี้ยอีกครั้ง แต่หากตัวเลขออกมาต่ำกว่าคาด ก็อาจช่วยหนุนโมเมนตัมการฟื้นตัวของตลาดต่อไปค่ะ
นอกเหนือจากดาวโจนส์แล้ว ดัชนี Nasdaq Composite พุ่งขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ที่ 21,450.02 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.78% โดยได้รับแรงหนุนมาจากผลประกอบการที่แข็งแกร่ง ซึ่งจนถึงตอนนี้ บริษัทใน S&P 500 ที่รายงานผลประกอบการแล้วกว่า 80% สามารถทำกำไรได้สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ค่ะ อย่างไรก็ดี หลาย ๆ ฝ่าย รวมถึงนักวิเคราะห์จาก Morgan Stanley และ Deutsche Bank ก็เตือนว่าตลาดอาจอยู่ในภาวะร้อนแรงเกินไป โดย S&P 500 ซื้อขายในอัตราส่วน P/E มากกว่า 22 เท่า ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตมาก จึงมีความกังวลเกี่ยวกับมูลค่าหุ้นที่อาจแพงเกินจริง โดยเฉพาะเมื่อเข้าสู่ช่วงเวลาที่ตลาดมักอ่อนตัวค่ะ
ในตลาดหุ้นกลุ่มอื่น เช่น Gilead Sciences (GILD) ปรับตัวขึ้น 8.3% หลังปรับเพิ่มแนวโน้มผลประกอบการทั้งปี ส่วน Expedia (EXPE) ก็เพิ่มขึ้นกว่า 4% จากการคาดการณ์การจองที่แข็งแกร่ง ในทางกลับกัน Under Armour (UAA) Pinterest (PINS) และ Wendy’s (WEN) กลับลดลงเนื่องจากแนวโน้มยอดขายที่อ่อนแอค่ะ
ในขณะเดียวกัน หุ้นรายตัวบางตัวเคลื่อนไหวรุนแรง เช่น Eli Lilly (LLY) ที่ร่วงกว่า 14% หลังข้อมูลการทดลองยาลดน้ำหนักไม่เป็นที่น่าพอใจ และ The Trade Desk (TTD) ร่วงเกือบ 40% จากการลาออกของ CFO และการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจาก Amazon และ Fortinet (FTNT) ที่ลดลงถึง 26% ตลอดทั้งสัปดาห์จากความกังวลเกี่ยวกับรอบการอัปเกรดระบบไฟร์วอลล์ค่ะ ในขณะที่ Peloton (PTON) กลับดีดตัวขึ้นหลังได้รับการปรับเพิ่มเรตติ้งจาก Goldman Sachs เนื่องจากบริษัทเปลี่ยนกลยุทธ์ไปเน้นเรื่องสุขภาพค่ะ
ทั้งนี้ คุณน้ามองว่า ราคาหุ้นที่สูงเกินพื้นฐาน การอ่อนตัวตามฤดูกาล และความไม่แน่นอนด้านมหภาค เช่น ภาษีนำเข้า และเงินเฟ้อ ทำให้นักวิเคราะห์หลายคนแนะนำให้นักลงทุนใช้ความระมัดระวังมากขึ้น แม้ว่าตลาดจะยังอยู่ใกล้ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แต่การประกาศตัวเลข CPI นโยบายของเฟด และพัฒนาการด้านภูมิรัฐศาสตร์ต่าง ๆ จะเป็นตัวแปรสำคัญที่กำหนดว่าดัชนีดาวโจนส์จะสามารถรักษาแรงส่งต่อไปได้ หรือจะเริ่มปรับฐานลงมาค่ะ
บทวิเคราะห์ภาพรวมทางเทคนิคหุ้นสหรัฐ

แนวโน้มของดัชนีดาวโจนส์ยังคงแข็งแกร่ง โดยสามารถยืนเหนือแนวรับทางจิตวิทยาที่ 44,000 ได้อย่างมั่นคง แนวต้านระยะสั้นอยู่แถวระดับ 44,300–44,350 จุด หากสามารถทะลุผ่านไปได้ มีโอกาสขึ้นต่อไปยังโซน 44,500–44,650 จุดค่ะ
อินดิเคเตอร์ด้านโมเมนตัมจากกราฟราคาชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มเชิงบวกในระยะสั้น โดยดัชนียังยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 20 วัน ยืนยันแรงซื้อในตลาด อย่างไรก็ตาม RSI เริ่มเข้าใกล้เขตซื้อมากเกินไป ซึ่งอาจนำไปสู่การพักฐาน หากเกิดแรงขายทำกำไร โดยแนวรับแรกอยู่ที่บริเวณ 44,050–44,000 จุด และแนวรับหลักถัดไปอยู่ที่ 43,750 จุดค่ะ
ในระยะสั้น คุณน้าคิดว่า ทิศทางของตลาดยังโน้มเอียงไปทางบวกจากความคาดหวังที่เฟดจะลดดอกเบี้ยในเดือนกันยายน อย่างไรก็ดี ตัวเลข CPI ที่จะประกาศในเร็ว ๆ นี้อาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ หากเงินเฟ้อออกมาสูงกว่าคาด อาจสร้างแรงกระเพื่อมให้กับตลาดได้อย่างชัดเจน จึงควรระมัดระวังความผันผวนในช่วงนี้นะคะ
📍ข้อมูลประกอบการวิเคราะห์ทางเทคนิค (US30 / DJIA)
- แนวรับสำคัญ : 44196.9, 44177.1, 44145.0
- แนวต้านสำคัญ : 44261.1, 44280.9, 44313.0
ข่าวที่ส่งผลกระทบต่อแนวโน้มหุ้นสหรัฐ

ที่มา : Forexfactory
กำหนดการรายงานผลประกอบการ

ที่มา : TradingView
📍หุ้นสหรัฐที่น่าจับตามอง
- Apple (AAPL) : ขณะนี้มีการซื้อขายที่ต่ำกว่าระดับแนวต้านเล็กน้อย โดยระดับแนวรับอยู่ที่ช่วง 220–225 ดอลลาร์ การฟื้นตัวรอบนี้มีปริมาณการซื้อขายสนับสนุนอย่างชัดเจนค่ะ แต่สัญญาณทางเทคนิคเริ่มบ่งชี้ว่าอาจมีการย่อตัวระยะสั้นก่อนจะปรับขึ้นรอบใหม่ได้อีกครั้ง
- Cisco Systems (CSCO) : แนวต้านระยะสั้นถัดไปอยู่ที่ 72.30 ดอลลาร์ ส่วนแนวรับสำคัญอยู่ที่ช่วง 70.25–70.50 ดอลลาร์ การทะลุแนวต้านรอบนี้ถือว่ามีนัยสำคัญทางเทคนิค เพราะมาพร้อมกับแรงซื้อและปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น หากราคายังยืนเหนือ 71 ดอลลาร์ได้ มีโอกาสสูงที่จะต่อยอดขึ้นไปได้ในระยะสั้นค่ะ
- Gilead Sciences (GILD) : ตอนนี้ราคาหุ้นกำลังเข้าใกล้แนวต้านที่ 121 ดอลลาร์ ส่วนแนวรับอยู่ในโซน 115–117 ดอลลาร์ การเคลื่อนไหวยังอยู่ในแนวโน้มบวกค่ะ และถ้าราคายังยืนเหนือ 117 ดอลลาร์ได้ ก็มีโอกาสจะได้เห็นการทดสอบแนวต้านหรือทะลุผ่าน 121 ดอลลาร์ไปได้ค่ะ
- The Trade Desk (TTD) : ขณะนี้หุ้นอยู่ในภาวะขายมากเกินไป โดยมีแนวรับที่ช่วง 53–54 ดอลลาร์ และเป้าหมายรีบาวด์อยู่ที่ 60 ดอลลาร์ แม้อาจจะมีการดีดตัวระยะสั้นได้ แต่โดยรวมยังอยู่ในแนวโน้มขาลง และต้องการแรงสนับสนุนจากปัจจัยพื้นฐานหรือความเชื่อมั่นที่กลับมาใหม่ค่ะ
- Eli Lilly (LLY) : แนวต้านอยู่ที่ช่วง 655–660 ดอลลาร์ ส่วนแนวรับแรกอยู่ที่ 625 ดอลลาร์ และแนวรับจิตวิทยาสำคัญอยู่ที่ 600 ดอลลาร์ แม้แนวโน้มทางเทคนิคยังคงดูอ่อนแอ แต่หากราคาสามารถประคองตัวที่บริเวณนี้ได้ ก็อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการรีบาวด์ระยะสั้น หากแรงขายเริ่มลดลงค่ะ
🔍คุณน้าแนะนำเทรดหุ้น CFD ไปกับโบรกเกอร์ IUX

IUX มีการให้บริการซื้อขายหุ้น CFD ประกอบไปด้วยหุ้นกลุ่ม Magnificent Seven (M7) อีกทั้งยังมีหุ้นให้เลือกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Coca Cola, Adobe, Alibaba, McDonalds Incorporated และ Netflix เป็นต้น ทำให้เหมาะสำหรับเทรดเดอร์มือใหม่และเทรดเดอร์รายย่อยที่มีต้นทุนจำกัดแล้วต้องการซื้อขายหุ้นระดับโลก
สรุปคุยหุ้นสหรัฐและแนวโน้มในการลงทุน (US30 / DJIA)
จุดน่าเข้า Buy
- Buy/ Long 1 : หากมีการแตะแนวรับที่ช่วงราคา 44146.9 – 44196.9 แต่ไม่สามารถทะลุแนวรับที่ 44196.9 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 44279.5 และ SL ที่ประมาณ 44121.9 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
- Buy/ Long 2 : หากสามารถทะลุแนวต้านที่ช่วงราคา 44261.1 – 44311.1 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 44363.5 และ SL ที่ประมาณ 44171.9 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
จุดน่าเข้า Sell
- Sell/ Short 1 : หากมีการแตะแนวต้านที่ช่วงราคา 44261.1 – 44311.1 แต่ไม่สามารถทะลุแนวต้านที่ 44261.1 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 44195.5 และ SL ที่ประมาณ 44336.1 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
- Sell/ Short 2 : หากสามารถทะลุแนวรับที่ช่วงราคา 44146.9 – 44196.9 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 44111.5 และ SL ที่ประมาณ 44286.1 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
คำเตือน
บทวิเคราะห์นี้ใช้สำหรับการศึกษาข้อมูลของหุ้นสหรัฐเบื้องต้นเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลของสินทรัพย์และศึกษาความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องอย่างละเอียด ประกอบกับศึกษาแนวโน้มหุ้นและข่าวสหรัฐก่อนตัดสินใจลงทุน
สำหรับใครที่สนใจอ่านรีวิวโบรกเกอร์ : Review Brokers
บทความในเรื่องการลงทุนที่น่าสนใจ : Investing
คลังความรู้จากคุณน้า : Knowledge