หุ้นสหรัฐถือเป็นหุ้นที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก ซึ่งการเคลื่อนไหวของหุ้นสหรัฐเพียงหนึ่งครั้งก็สามารถส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นอื่น ๆ ทั่วโลก ดังนั้น ในบทความนี้เราจะมาคุยหุ้น เจาะลึกปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยทางเทคนิคที่ส่งผลต่อตลาดหุ้นสหรัฐ รวมถึงความเสี่ยงและมุมมองในการลงทุน สายวิเคราะห์หุ้นสหรัฐห้ามพลาดบทความนี้!
คุยหุ้นสหรัฐวันนี้ (US 500/ S&P 500)
บทวิเคราะห์ภาพรวมปัจจัยพื้นฐานหุ้นสหรัฐ
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ กลับมาฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งในวันจันทร์ที่ผ่านมา พลิกกลับจากการร่วงลงหนักในวันศุกร์ หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ส่งสัญญาณท่าทีที่อ่อนลงต่อจีน โดยคำกล่าวของทรัมป์ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ว่า “สหรัฐฯ ไม่ต้องการทำร้ายจีน” ช่วยคลายความกังวลเรื่องสงครามการค้ารอบใหม่ ซึ่งสร้างความปั่นป่วนให้ตลาดในช่วงปลายสัปดาห์ก่อนค่ะ
ทั้งนี้ ดัชนี S&P 500 ได้แรงหนุนหลักจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับ AI โดย 10 จาก 11 หมวดอุตสาหกรรมปรับตัวขึ้นค่ะ ดัชนีกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศพุ่งขึ้นกว่า 2% ขณะที่หุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยเพิ่มขึ้น 2.29% ส่วนดัชนีหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ (PHLX Semiconductor Index) พุ่งเกือบ 5% สะท้อนความเชื่อมั่นในภาคชิปและ AI ค่ะ
ด้าน Broadcom (AVGO) พุ่งขึ้นเกือบ 10% นำหน้าหุ้นทั้งหมดใน S&P 500 หลังประกาศความร่วมมือระยะยาวกับ OpenAI เพื่อพัฒนาและติดตั้งระบบเร่งความเร็ว AI และระบบคอมพิวเตอร์เฉพาะทาง ซึ่งนักลงทุนมองว่าเป็นการขยายบทบาทของ Broadcom ในโครงสร้างพื้นฐาน AI ค่ะ ส่วนหุ้นผู้ผลิตชิป AI รายอื่นก็ตอบรับเช่นกัน โดย Nvidia (NVDA) เพิ่มขึ้นเกือบ 3% และ Micron Technology (MU) เพิ่มขึ้นกว่า 6% ค่ะ
ในขณะเดียวกัน Oracle (ORCL) ขยับขึ้น 5.1% ก่อนงานใหญ่ AI Cloud World ที่ลาสเวกัส ซึ่งนักลงทุนคาดว่าจะมีการอัปเดตความคืบหน้าการผสานระบบคลาวด์กับ AI รวมถึงแนวโน้มด้านกำไรค่ะ นอกจากนี้ หุ้น ASML และ TSMC ก็ได้รับความสนใจในสัปดาห์นี้ เนื่องจากทั้งสองบริษัทเตรียมรายงานผลประกอบการ ซึ่งอาจสะท้อนความแข็งแกร่งของอุปสงค์ชิปที่ขับเคลื่อนด้วย AI ค่ะ โดย TSMC คาดว่ารายงานกำไรอาจพุ่งถึง 28% ส่วน ASML ยังมีคำสั่งซื้อเครื่องพิมพ์ลิโธกราฟีแบบ EUV อย่างต่อเนื่อง แม้จะมีความไม่แน่นอนจากข้อจำกัดการส่งออกของสหรัฐฯ ค่ะ
ในกลุ่มหุ้นที่ไม่เกี่ยวกับเทคโนโลยี Estee Lauder (EL) เพิ่มขึ้น 5.8% หลังจากได้รับการปรับเพิ่มอันดับโดย Goldman Sachs ส่วน Warner Bros Discovery (WBD) ปรับขึ้นเช่นกัน หลังปฏิเสธข้อเสนอซื้อกิจการจาก Paramount-Skydance ที่เสนอราคาหุ้นละ 20 ดอลลาร์ค่ะ
ด้านหุ้นที่ปรับตัวลง Fastenal (FAST) ร่วงลง 7.5% หลังผลประกอบการไตรมาส 3 ออกมาต่ำกว่าคาด ส่วนหุ้นผู้ประกอบกิจการคาสิโนอย่าง Las Vegas Sands (LVS) และ Wynn Resorts (WYNN) ต่างก็ร่วงลงมากกว่า 6% ค่ะ
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์จาก Morgan Stanley เตือนว่า หากความตึงเครียดทางการค้าไม่คลี่คลายภายในต้นเดือนพฤศจิกายน ดัชนี S&P 500 อาจเผชิญการปรับฐานลงถึง 10–15% โดยอาจทดสอบแนวรับที่บริเวณ 6,027–5,800 จุด ซึ่งตรงกับค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 200 วันค่ะ
ในขณะเดียวกัน ฤดูกาลประกาศผลประกอบการกำลังจะเริ่มต้น โดย JPMorgan Chase (JPM) Goldman Sachs (GS) Citigroup (C) และ Wells Fargo (WFC) มีกำหนดการรายงานในวันอังคารนี้ค่ะ นักวิเคราะห์คาดว่ากำไรของบริษัทในดัชนี S&P 500 จะเติบโต 8.8% เมื่อเทียบปีต่อปี โดยเฉพาะกลุ่มธนาคารที่น่าจะยังคงแสดงให้เห็นถึงรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่แข็งแกร่งและการซื้อหุ้นคืน อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนจากการที่รัฐบาลสหรัฐฯ ยังปิดทำการ และข้อมูลเศรษฐกิจล่าช้า ทำให้แนวโน้มยังไม่ชัดเจน นักลงทุนอาจต้องอาศัยคำแถลงจากบริษัทจดทะเบียนเพื่อดูทิศทางเศรษฐกิจโดยรวมค่ะ
บทวิเคราะห์ภาพรวมทางเทคนิคหุ้นสหรัฐ

ดัชนี S&P 500 (US500) ขยับขึ้นมาอยู่บริเวณโซนทางเทคนิคที่สำคัญและอาจเป็นตัวกำหนดทิศทางใหญ่ของตลาดในรอบถัดไป หลังจากที่ดัชนีดีดตัวแรงจากระดับต่ำสุดช่วงปลายเดือนกันยายนที่บริเวณ 6,400 จุด จากแรงหนุนสำคัญที่มาจากความหวังในภาคเซมิคอนดักเตอร์และเทคโนโลยี AI ที่ยังคงแข็งแกร่ง รวมถึงสัญญาณผ่อนคลายความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดโดยรวม
อย่างไรก็ตาม เครื่องชี้วัดทางเทคนิคเริ่มส่งสัญญาณว่าโมเมนตัมขาขึ้นอาจกำลังเข้าสู่ภาวะอ่อนแรง โดย RSI เริ่มเข้าใกล้เขตซื้อมากเกินไป ซึ่งมักเป็นสัญญาณเบื้องต้นของการพักตัวหรือตลาดอาจเริ่มปรับฐานในระยะสั้นก่อนที่จะเดินหน้าขึ้นต่อได้อีกครั้ง
แนวต้านที่สำคัญในช่วงนี้อยู่ระหว่าง 6,700–6,750 จุด ซึ่งถือเป็นโซนที่มีแรงขายสะสมอย่างหนาแน่น หากดัชนีสามารถทะลุและปิดเหนือแนวต้านนี้ได้อย่างชัดเจน อาจเป็นสัญญาณขาขึ้นต่อเนื่อง และมีโอกาสขยับขึ้นไปสู่ระดับจิตวิทยาสำคัญที่ 7,000 จุดได้
ในด้านแนวรับ ระดับ 6,600 จุด เป็นจุดรองรับที่สำคัญในระยะสั้น หากดัชนียังสามารถยืนเหนือบริเวณนี้ได้ มีโอกาสที่ตลาดจะเคลื่อนไหวในลักษณะทรงตัวในกรอบแคบ และเอนเอียงไปทางบวกเล็กน้อย แต่ถ้าราคาปิดต่ำกว่า 6,600 จุดอย่างมีนัยสำคัญ อาจเห็นแรงขายทำกำไรและดัชนีอาจถอยกลับลงไปสู่โซนแนวรับ 6,400–6,500 จุดค่ะ
โดยรวมแล้ว มุมมองทางเทคนิคของ S&P 500 ยังคงเอนเอียงไปทางบวกแบบที่ยังคงต้องใช้ความระมัดระวัง ท่ามกลางแรงขับเคลื่อนของตลาดที่เริ่มชะลอลง และสัญญาณจากหุ้นรายตัวในดัชนีที่เริ่มแสดงถึงโมเมนตัมที่ลดลง ส่งผลให้ช่วงนี้คาดว่าจะเป็นช่วงที่ตลาดเคลื่อนไหวในกรอบระหว่าง 6,600–6,750 จุด โดยมีโอกาสขยับขึ้นต่อถึง 7,000 จุด หากปัจจัยมหภาคสนับสนุนต่อเนื่องและผลประกอบการยังคงแข็งแกร่ง ในทางกลับกัน ถ้าหลุดต่ำกว่า 6,600 จุด ตลาดอาจเข้าสู่ช่วงพักฐานลงมาที่โซน 6,400 จุด โดยในระยะนี้ การรอจังหวะให้ทิศทางตลาดมีความชัดเจน อาจเป็นแนวทางที่เหมาะสมกว่าการเข้าซื้อในช่วงที่ตลาดเริ่มเข้าสู่ภาวะพักฐานค่ะ
📍ข้อมูลประกอบการวิเคราะห์ทางเทคนิค (US 500/ S&P 500)
- แนวรับสำคัญ : 6622.8, 6609.5, 6587.9
- แนวต้านสำคัญ : 6666.0, 6679.3, 6700.9
ข่าวที่ส่งผลกระทบต่อแนวโน้มหุ้นสหรัฐ

ที่มา : Forexfactory
กำหนดการรายงานผลประกอบการ

ที่มา : TradingView
📍หุ้นสหรัฐที่น่าจับตามอง
- Broadcom Inc (AVGO): พุ่งขึ้นหลังยืนยันความร่วมมือกับ OpenAI ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มขาขึ้นของกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ที่ได้รับแรงหนุนจากการขยายศูนย์ข้อมูลและความต้องการ Generative AI ค่ะ โดยมุมมองทางเทคนิค ขณะนี้ AVGO ซื้อขายอยู่ต่ำกว่าบริเวณแนวต้านระยะสั้นที่ $370–$375 เล็กน้อย หลังจากทะลุจากแนวรับแถว $330 ด้วยโมเมนตัมที่แข็งแกร่ง RSI เริ่มแสดงภาวะซื้อมากเกินไปเล็กน้อย อาจมีการพักฐานชั่วคราวก่อนปรับตัวขึ้นต่อค่ะ หากยืนเหนือ $350 ได้อย่างมั่นคง เป้าหมายถัดไปอยู่แถว $385 แต่หากหลุด $335 อาจเกิดการย่อตัวในระยะสั้นได้ค่ะ
- NVIDIA Corp (NVDA): ยังคงเป็นผู้นำหลักในระบบนิเวศ AI โดยเฉพาะในตลาด GPU สำหรับคลาวด์ขนาดใหญ่และองค์กร อย่างไรก็ตาม นักลงทุนเริ่มระมัดระวังในเรื่องมูลค่าหุ้นมากขึ้น หลังจากการเติบโตแบบก้าวกระโดดในปี 2023–2024 ที่เริ่มชะลอลงค่ะ โดยมุมมองทางเทคนิคตอนนี้ NVDA เคลื่อนไหวใกล้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 10 วัน ซึ่งยังถือว่ารักษาโครงสร้างขาขึ้นได้ ตราบใดที่ไม่หลุด $180 โดยหากทะลุ $190 ได้อย่างชัดเจน จะเป็นสัญญาณโมเมนตัมขาขึ้นรอบใหม่ ซึ่งมีเป้าหมายบริเวณ $200–$205 ขณะที่ดัชนีโมเมนตัมอยู่ในโซนกลาง แปลว่ายังมีพื้นที่ให้ดีดตัวระยะสั้นได้ แต่อาจเจอแรงขายบริเวณ $192 ค่ะ
- Oracle Corp (ORCL): กลับมาได้รับความสนใจจากนักลงทุนอีกครั้ง จากการรุกตลาดโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI อย่างจริงจัง แข่งกับ AWS และ Azure ขณะที่รายได้ประจำจากฐานลูกค้าองค์กรขนาดใหญ่ค่อนข้างมั่นคงค่ะโดยมุมมองทางเทคนิค ORCL สามารถทะลุแนวต้านที่ $300 ได้ พร้อมปริมาณซื้อขายที่แข็งแกร่ง และคาดว่าจะส่งผลให้กลายเป็นแนวรับใหม่ แนวต้านถัดไปจะอยู่ที่ $320 และหากโมเมนตัมยังมีความต่อเนื่อง และอาจไปถึง $335 ได้ โดยระดับ $290 ถือเป็นฐานรับสำคัญสำหรับนักลงทุนระยะกลางค่ะ
- Fastenal Co. (FAST): เป็นผู้จัดจำหน่ายสินค้าสำหรับอุตสาหกรรมรายใหญ่ในสหรัฐฯ ซึ่งสะท้อนแนวโน้มของภาคการก่อสร้างและการผลิต แต่การอ่อนตัวล่าสุดของหุ้น สะท้อนถึงความต้องการที่ชะลอลง และการใช้จ่ายของบริษัทที่ระมัดระวังมากขึ้น ท่ามกลางข้อมูลเศรษฐกิจภาคอุตสาหกรรมที่ยังไม่สดใสนักค่ะ โดยมุมมองทางเทคนิคตอนนี้ FAST กำลังทดสอบแนวรับสำคัญบริเวณ $42 หลังจากไม่สามารถทะลุแนวต้านที่ $47 ได้ โมเมนตัมอยู่ในทิศทางกลางถึงลบ หากหลุด $41.50 ก็มีโอกาสย่อต่อไปที่ $39–$40 แต่หากสามารถดีดกลับขึ้นเหนือ $45 ได้ อาจเป็นสัญญาณฟื้นตัวระยะแรก โดยสำหรับแนวโน้มตอนนี้ คือ การเคลื่อนไหวในกรอบเพื่อรอปัจจัยพื้นฐานใหม่ค่ะ
- Las Vegas Sands Corp (LVS): ผู้ให้บริการคาสิโนและรีสอร์ทรายใหญ่ยังเผชิญแรงกดดันจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวในมาเก๊า และการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่ยังระมัดระวัง อย่างไรก็ตาม งบดุลที่แข็งแกร่งและแนวโน้มการกลับมาจ่ายเงินปันผลยังคงดึงดูดนักลงทุนระยะยาวค่ะ โดยมุมมองทางเทคนิคหุ้นยังอยู่ในแนวโน้มการพักฐาน โดยมีแนวรับแถว $45 และแนวต้านที่ $51 ซึ่งราคายังไม่แสดงสัญญาณกลับตัวขึ้นอย่างชัดเจน และปริมาณซื้อขายยังคงเบาบาง หากราคาสามารถปิดเหนือ $50 ได้ อาจเป็นสัญญาณเบรกเอาต์ ขณะที่ถ้าหลุดต่ำกว่า $45 อาจเห็นแรงขายต่อเนื่องจนถึง $42 ได้ค่ะ
🔍คุณน้าแนะนำเทรดหุ้น CFD ไปกับโบรกเกอร์ IUX

IUX มีการให้บริการซื้อขายหุ้น CFD ประกอบไปด้วยหุ้นกลุ่ม Magnificent Seven (M7) อีกทั้งยังมีหุ้นให้เลือกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Coca Cola, Adobe, Alibaba, McDonalds Incorporated และ Netflix เป็นต้น ทำให้เหมาะสำหรับเทรดเดอร์มือใหม่และเทรดเดอร์รายย่อยที่มีต้นทุนจำกัดแล้วต้องการซื้อขายหุ้นระดับโลก
สรุปคุยหุ้นสหรัฐและแนวโน้มในการลงทุน (US 500/ S&P 500)
จุดน่าเข้า Buy
- Buy/ Long 1 : หากมีการแตะแนวรับที่ช่วงราคา 6582.8 – 6622.8 แต่ไม่สามารถทะลุแนวรับที่ 6622.8 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 6675.7 และ SL ที่ประมาณ 6562.8 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
- Buy/ Long 2 : หากสามารถทะลุแนวต้านที่ช่วงราคา 6666.0 – 6706.0 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 6732.0 และ SL ที่ประมาณ 6603.0 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
จุดน่าเข้า Sell
- Sell/ Short 1 : หากมีการแตะแนวต้านที่ช่วงราคา 6666.0 – 6706.0 แต่ไม่สามารถทะลุแนวต้านที่ 6666.0 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 6619.2 และ SL ที่ประมาณ 6726.0 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
- Sell/ Short 2 : หากสามารถทะลุแนวรับที่ช่วงราคา 6582.8 – 6622.8 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 6563.0 และ SL ที่ประมาณ 6686.0 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
คำเตือน
บทวิเคราะห์นี้ใช้สำหรับการศึกษาข้อมูลของหุ้นสหรัฐเบื้องต้นเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลของสินทรัพย์และศึกษาความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องอย่างละเอียด ประกอบกับศึกษาแนวโน้มหุ้นและข่าวสหรัฐก่อนตัดสินใจลงทุน
สำหรับใครที่สนใจอ่านรีวิวโบรกเกอร์ : Review Brokers
บทความในเรื่องการลงทุนที่น่าสนใจ : Investing
คลังความรู้จากคุณน้า : Knowledge