หุ้นสหรัฐถือเป็นหุ้นที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก ซึ่งการเคลื่อนไหวของหุ้นสหรัฐเพียงหนึ่งครั้งก็สามารถส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นอื่น ๆ ทั่วโลก ดังนั้น ในบทความนี้เราจะมาคุยหุ้น เจาะลึกปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยทางเทคนิคที่ส่งผลต่อตลาดหุ้นสหรัฐ รวมถึงความเสี่ยงและมุมมองในการลงทุน สายวิเคราะห์หุ้นสหรัฐห้ามพลาดบทความนี้!
คุยหุ้นสหรัฐวันนี้ (US 500/ S&P 500)
บทวิเคราะห์ภาพรวมปัจจัยพื้นฐานหุ้นสหรัฐ
ดัชนี S&P 500 ปิดสัปดาห์ที่ผ่านมาลดลงเล็กน้อย เนื่องจากมีแรงเข้าซื้อเมื่อราคาย่อตัว โดยเฉพาะในกลุ่มหุ้น AI และเทคโนโลยีขนาดใหญ่ค่ะ อย่างไรก็ดี ความเชื่อมั่นของนักลงทุนยังคงเปราะบางหลังจากถ้อยแถลงเชิงเข้มงวดของเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ ซึ่งทำให้ความน่าจะเป็นของการลดดอกเบี้ยในเดือนธันวาคมลดลงมาเหลือราว 50% ค่ะ โดยความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อ, ระดับมูลค่าหุ้น AI ที่สูง และการขาดข้อมูลเศรษฐกิจใหม่ระหว่างการปิดทำการของภาครัฐ ล้วนเพิ่มความไม่แน่นอนให้กับตลาด
ทั้งนี้ แม้จะมีแรงกดดันในกลุ่มเทคโนโลยีเป็นวงกว้าง แต่หุ้นที่เกี่ยวข้องกับ AI หลายตัวยังช่วยพยุงตลาดไว้ได้ค่ะ โดย Nvidia Microsoft และ Palantir ดีดตัวขึ้นมากกว่า 1% ก่อนการรายงานผลประกอบการไตรมาสของ Nvidia ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญต่อทิศทางระยะสั้นของ S&P 500 ค่ะ ส่วนหุ้นสำคัญอื่น ๆ ในดัชนีก็ช่วยในการฟื้นตัวเช่นกัน โดย Micron เพิ่มขึ้นกว่า 4% นำดัชนี ขณะที่ Warner Bros Discovery ปรับตัวเพิ่มขึ้นหลังมีรายงานว่าบริษัทได้รับความสนใจจาก Paramount Comcast และ Netflix ส่วน Cisco Systems ปรับขึ้นตามผลประกอบการที่แข็งแกร่งกว่าคาด ซึ่งสะท้อนความต้องการด้านโครงสร้างพื้นฐาน AI ขององค์กรและผู้ให้บริการคลาวด์รายใหญ่ที่เพิ่มขึ้นค่ะ
ด้านผลประกอบการและข่าวเฉพาะบริษัทยังทำให้ผลตอบแทนของหุ้นในดัชนีแตกต่างกันอย่างชัดเจนค่ะ โดย Applied Materials รายงานผลที่หลากหลาย พร้อมเตือนว่ากฎควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯ ที่เข้มงวดยิ่งขึ้น จะกดดันความต้องการเครื่องจักรผลิตชิปจากจีนในปีหน้า แต่ในขณะเดียวกันก็ระบุว่า การลงทุนใน AI ที่เร่งตัวขึ้น น่าจะช่วยหนุนยอดขายในช่วงครึ่งหลังของปี 2025 ค่ะ ขณะที่ Walmart อ่อนตัวลง หลังประกาศเปลี่ยนซีอีโอ ขณะที่ StubHub ร่วงลงหลังผู้บริหารไม่ให้คำแนะนำผลประกอบการ ในทางตรงกันข้าม Eli Lilly โดดเด่นในดัชนีโดยเพิ่มขึ้นกว่า 10% จากการปรับเพิ่มราคาเป้าหมายโดยนักวิเคราะห์ ซึ่งสะท้อนการเติบโตอย่างรวดเร็วของกลุ่มยารักษาโรคอ้วนค่ะ ด้านหุ้น On Holding ก็พุ่งกว่า 22% ตลอดสัปดาห์หลังรายงานผลประกอบการแข็งแกร่งและปรับเพิ่มการคาดการณ์ทั้งปี ขณะที่ Oracle ลดลงกว่า 6% หลัง Michael Burry เตือนว่า บริษัทเทคโนโลยีใหญ่บางแห่งอาจกำลังบันทึกกำไรสูงเกินจริงโดยการขยายอายุการใช้งานสินทรัพย์ค่ะ
อย่างไรก็ดี เบื้องหลังการเคลื่อนไหวในตลาดครั้งนี้ คือ การถกเถียงที่มากขึ้นเกี่ยวกับความยั่งยืนของแรงขับเคลื่อนจาก AI ซึ่งเป็นตัวผลักดันหลักของผลตอบแทน S&P 500 ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาค่ะ จากการเปิดเผยข้อมูลไตรมาส 3 ของกองทุนเฮดจ์ฟันด์พบว่า บริษัทขนาดใหญ่ เช่น Bridgewater Tiger Global และ Coatue ลดการถือครองหุ้นกลุ่ม Magnificent Seven เช่น Nvidia, Alphabet, Meta และ Amazon พร้อมขยับเข้าสู่หุ้นซอฟต์แวร์ ระบบชำระเงิน อีคอมเมิร์ซ และโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล โดยนักวิเคราะห์มองว่าการหมุนพอร์ตดังกล่าวสะท้อนความระมัดระวังที่เพิ่มขึ้นต่อมูลค่าหุ้นกลุ่ม AI ในขณะเดียวกัน งานวิจัยล่าสุดจาก JPMorgan และ Morgan Stanley ก็เตือนถึงความเสี่ยงในการขาดแคลนพลังงานไฟฟ้าในสหรัฐฯ จากการขยายตัวอย่างรวดเร็วของดาต้าเซ็นเตอร์ โดยคาดว่าอุปสงค์อาจสูงเกินกำลังผลิตภายในปี 2028 ค่ะ
ในปัจจุบัน ตลาดกำลังจับตาการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่ล่าช้า หลังการปิดทำการของภาครัฐสิ้นสุดลงค่ะ อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์เตือนว่า รายงานสำคัญบางฉบับ เช่น อัตราว่างงานเดือนตุลาคมและ CPI อาจไม่ทันใช้ประกอบการประชุม Fed เดือนธันวาคม ซึ่งอาจจะทำให้ S&P 500 ยิ่งอ่อนไหวต่อความคาดหวังด้านนโยบายการเงินและทิศทางการลงทุนด้าน AI ค่ะ
โดยสรุปแล้ว พื้นฐานของ S&P 500 ยังคงได้รับแรงหนุนจากความแข็งแกร่งของผลประกอบการบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับ AI และการขยายตัวของดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งช่วยเสริมเสถียรภาพให้ดัชนี แม้ตลาดผันผวนจากความคาดหวังเรื่องดอกเบี้ยและข้อมูลเศรษฐกิจที่ล่าช้าค่ะ อย่างไรก็ดี ตลาดเริ่มมีสัญญาณการหมุนพอร์ต ซึ่งไม่ใช่เพราะพื้นฐานอ่อนลง แต่เพราะมูลค่าที่ปรับขึ้นสูงตลอดหลายปีที่ผ่านมา สะท้อนว่าการเติบโตของ AI อาจเข้าสู่ช่วงที่ต้องรับมือกับต้นทุนที่สูงขึ้นและคอขวดด้านโครงสร้างพื้นฐานค่ะ แต่ถึงอย่างนั้น งบดุลที่แข็งแรงของบริษัท กำไรที่ยังเติบโตได้ และแนวโน้มระยะยาวที่มั่นคงของธุรกิจขนาดใหญ่ ยังคงเป็นแรงพยุงสำคัญของดัชนี แม้ความผันผวนระยะสั้นอาจยังดำเนินต่อไปจนกว่านโยบายการเงินและผลประกอบการของบริษัทต่าง ๆ จะให้ความชัดเจนมากขึ้นค่ะ
บทวิเคราะห์ภาพรวมทางเทคนิคหุ้นสหรัฐ

ดัชนี US500 ยังคงอยู่ในโครงสร้างขาขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจังหวะการปรับตัวจะเริ่มชะลอลง เมื่อเข้าใกล้โซนแนวต้านสำคัญที่ 6,760–6,820 ซึ่งเป็นบริเวณที่มักมีแรงขายกลับออกมาบ่อยครั้งในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยราคายังคงทรงตัวยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 20 วัน และแนวโน้มหลักยังคงเป็นบวกตราบใดที่ US500 ยืนเหนือระดับ 6,600 ค่ะ
ทั้งนี้ เครื่องมือวัดโมเมนตัมเริ่มส่งสัญญาณอ่อนแรงเล็กน้อย บ่งชี้ว่าดัชนีอาจเข้าสู่ภาวะพักฐานในกรอบแคบ หรืออาจมีการย่อตัวแบบตื้น ๆ ก่อนที่จะพยายามเบรกทะลุอีกครั้ง หากสามารถผ่านระดับ 6,820 ไปได้อย่างชัดเจน ก็มีโอกาสเปิดทางขึ้นสู่ 6,900 และต่อเนื่องไปถึง 7,000 โดยอาจได้รับแรงขับเคลื่อนหลักมาจากหุ้นกลุ่มเมกะแคปด้าน AI อย่าง NVDA MSFT และ MU ค่ะ
อย่างไรก็ตาม หากดัชนีไม่สามารถทะลุ 6,820 ได้ ประกอบกับความไม่แน่นอนจากท่าทีของ Fed ที่อาจกลับมาอีกครั้ง ก็อาจทำให้เกิดแรงขายปรับฐานลงสู่โซนรับสำคัญที่ 6,550–6,580 ได้ค่ะ
📍ข้อมูลประกอบการวิเคราะห์ทางเทคนิค (US 500/ S&P 500)
- แนวรับสำคัญ : 6723.95, 6699.56, 6660.09
- แนวต้านสำคัญ : 6802.89, 6827.28, 6866.75
ข่าวที่ส่งผลกระทบต่อแนวโน้มหุ้นสหรัฐ

ที่มา : Forexfactory
กำหนดการรายงานผลประกอบการ

ที่มา : TradingView
📍หุ้นสหรัฐที่น่าจับตามอง
- Nvidia (NVDA): ยังคงแกว่งตัวในกรอบแคบพร้อมยืนเหนือโซนรับสำคัญที่ $185–$188 ขณะที่ราคาบีบตัวแคบลงต่อเนื่องค่ะ แนวต้านใกล้สุดอยู่ที่ $205–$210 โดยโมเมนตัมที่ชะลอลงจากช่วงก่อนหน้า ทำให้ NVDA มีพื้นที่สำหรับการขึ้นต่อถ้ามีปัจจัยหนุน หากสามารถทะลุเหนือ $210 ได้อย่างชัดเจน จะเปิดทางสู่ช่วง $225–$235 ในทางกลับกัน หากหลุดต่ำกว่า $185 อาจเห็นการถอยลงไปทดสอบบริเวณ $165 ได้ค่ะ แม้โครงสร้างโดยรวมยังเป็นขาขึ้น แต่การไปต่อยังต้องอาศัยแรงกระตุ้นเพิ่มเติมค่ะ
- Micron (MU): อยู่ในแนวโน้มขาขึ้นแบบเร่งตัว โดยราคาวิ่งเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 20 และ 50 วันอย่างมั่นคง ขณะที่ระดับ $220 ทำหน้าที่เป็นแนวรับหลัก และ MU ยังคงแสดงโมเมนตัมเชิงบวกต่อเนื่องค่ะ แนวต้านถัดไปอยู่ที่ $255–$260 โดยโมเมนตัมยังแข็งแรง แม้ RSI จะเริ่มมีสัญญาณการพักฐานสั้น ๆ หากราคายืนเหนือ $240 ได้ ภาพรวมแนวโน้มขาขึ้นจะยังคงชัดเจน และหากทะลุผ่าน $260 อาจเห็นการขยับขึ้นต่อสู่โซน $270 ได้ค่ะ
- Applied Materials (AMAT): ขณะนี้ราคากำลังเข้าใกล้แนวต้านสำคัญที่ $230–$235 โดยแนวโน้มยังได้รับแรงหนุนจากเส้นค่าเฉลี่ย 20 และ 50 วันที่ไต่ขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะท้อนแรงซื้อจากสถาบันที่ยังแข็งแกร่งค่ะ ตัวชี้วัดโมเมนตัมยังเป็นบวกและไม่อยู่ในภาวะซื้อมากเกินไป ทำให้ยังมีพื้นที่สำหรับการปรับตัวขึ้นต่อ โดยหากสามารถทะลุเหนือ $235 ได้ จะเปิดเป้าหมายถัดไปที่ $245–$250 ขณะที่การย่อกลับสู่โซน $218–$220 มีแนวโน้มดึงแรงซื้อกลับเข้ามาในทิศทางขาขึ้นรอบใหญ่ค่ะ
- Warner Bros. Discovery (WBD): ยังคงสะสมโมเมนตัมต่อเนื่อง หลังจากทะลุเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน ซึ่งบ่งชี้ถึงการพลิกกลับแนวโน้มจากขาลงระยะยาวค่ะ ราคากำลังเคลื่อนไปสู่แนวต้านที่ $24.50–$25 และหากทะลุได้อย่างชัดเจน จะเปิดทางไปสู่โซน $27–$28 โดยปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นระหว่างการปรับขึ้น สะท้อนถึงความสนใจจากนักลงทุนสถาบัน โดยเฉพาะท่ามกลางกระแสคาดการณ์ดีลควบรวมในกลุ่มสื่อค่ะ แนวรับแรกอยู่ที่ $22.20 และถัดไปที่ $21 ขณะที่ RSI แม้จะสูงขึ้น แต่ก็ยังไม่ถึงระดับที่ร้อนแรงเกินไป ทำให้ราคามีโอกาสเดินหน้าต่อพร้อมการย่อลงเล็กน้อยเป็นช่วง ๆ ค่ะ
- Eli Lilly (LLY): ยังคงเดินหน้าในแนวโน้มขาขึ้นระยะยาว โดยราคากำลังเข้าใกล้แนวต้านสำคัญที่ $1,050–$1,065 ซึ่งอาจมีแรงขายทำกำไรเข้ามาบ้างค่ะ แนวโน้มโดยรวมยังแข็งแกร่ง โดยราคายืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 20 และ 50 วันได้อย่างมั่นคง และตัวชี้วัดโมเมนตัมยังคงบวก แม้ RSI จะใกล้โซนซื้อมากเกินไป ซึ่งอาจนำไปสู่การพักฐานก่อนขึ้นต่อ หาก LLY สามารถทะลุเหนือ $1,065 ได้อย่างชัดเจน แนวต้านถัดไปคาดว่าจะอยู่ที่โซน $1,100–$1,120 ค่ะ
🔍คุณน้าแนะนำเทรดหุ้น CFD ไปกับโบรกเกอร์ IUX

IUX มีการให้บริการซื้อขายหุ้น CFD ประกอบไปด้วยหุ้นกลุ่ม Magnificent Seven (M7) อีกทั้งยังมีหุ้นให้เลือกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Coca Cola, Adobe, Alibaba, McDonalds Incorporated และ Netflix เป็นต้น ทำให้เหมาะสำหรับเทรดเดอร์มือใหม่และเทรดเดอร์รายย่อยที่มีต้นทุนจำกัดแล้วต้องการซื้อขายหุ้นระดับโลก
สรุปคุยหุ้นสหรัฐและแนวโน้มในการลงทุน (US 500/ S&P 500)
จุดน่าเข้า Buy
- Buy/ Long 1 : หากมีการแตะแนวรับที่ช่วงราคา 6653.95 – 6723.95 แต่ไม่สามารถทะลุแนวรับที่ 6723.95 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 6802.89 และ SL ที่ประมาณ 6618.95 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
- Buy/ Long 2 : หากสามารถทะลุแนวต้านที่ช่วงราคา 6802.89 – 6872.89 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 6905.45 และ SL ที่ประมาณ 6688.95 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
จุดน่าเข้า Sell
- Sell/ Short 1 : หากมีการแตะแนวต้านที่ช่วงราคา 6802.89 – 6872.89 แต่ไม่สามารถทะลุแนวต้านที่ 6802.89 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 6698.79 และ SL ที่ประมาณ 6907.89 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
- Sell/ Short 2 : หากสามารถทะลุแนวรับที่ช่วงราคา 6653.95 – 6723.95 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 6595.46 และ SL ที่ประมาณ 6837.89 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
คำเตือน
บทวิเคราะห์นี้ใช้สำหรับการศึกษาข้อมูลของหุ้นสหรัฐเบื้องต้นเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลของสินทรัพย์และศึกษาความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องอย่างละเอียด ประกอบกับศึกษาแนวโน้มหุ้นและข่าวสหรัฐก่อนตัดสินใจลงทุน
สำหรับใครที่สนใจอ่านรีวิวโบรกเกอร์ : Review Brokers
บทความในเรื่องการลงทุนที่น่าสนใจ : Investing
คลังความรู้จากคุณน้า : Knowledge







