หุ้นสหรัฐถือเป็นหุ้นที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก ซึ่งการเคลื่อนไหวของหุ้นสหรัฐเพียงหนึ่งครั้งก็สามารถส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นอื่น ๆ ทั่วโลก ดังนั้น ในบทความนี้เราจะมาคุยหุ้น เจาะลึกปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยทางเทคนิคที่ส่งผลต่อตลาดหุ้นสหรัฐ รวมถึงความเสี่ยงและมุมมองในการลงทุน สายวิเคราะห์หุ้นสหรัฐห้ามพลาดบทความนี้!
คุยหุ้นสหรัฐวันนี้ (US30 / DJIA)
บทวิเคราะห์ภาพรวมปัจจัยพื้นฐานหุ้นสหรัฐ
แม้จะเกิดภาวะการปิดทำการของรัฐบาลสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง แต่ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทยังคงปรับตัวขึ้นตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยดัชนีดาวโจนส์ปรับขึ้น 1.1% ซึ่งทำผลงานได้ดีควบคู่ไปกับดัชนี S&P 500 ที่เพิ่มขึ้น 1.1% และ Nasdaq ที่เพิ่มขึ้น 1.3% ค่ะ
ทั้งนี้ นักลงทุนส่วนใหญ่เลือกที่จะมองข้ามความกังวลเกี่ยวกับการปิดหน่วยงานของรัฐบาล และหันมาให้ความสนใจกับทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ แทน โดยตลาดได้สะท้อนคาดการณ์ว่าจะมีการปรับลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมภายในปีนี้ค่ะ โดยนักวิเคราะห์หลายรายมองว่าแรงส่งในตลาดยังเอื้อต่อฝั่งผู้ซื้อ แต่ก็มีบางเสียงเตือนว่าหากการปิดรัฐบาลลากยาว อาจทำให้ข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญออกมาล่าช้า ซึ่งอาจเพิ่มความไม่แน่นอนในตลาดได้ค่ะ
สำหรับหุ้นในดัชนีดาวโจนส์ที่โดดเด่น ได้แก่ UnitedHealth Group (+1.83%), Travelers (+1.62%) และ Caterpillar (+1.48%) โดยเฉพาะ Travelers และ Caterpillar ที่ทำสถิติสูงสุดใหม่ ในทางกลับกัน หุ้นที่กดดันดัชนี ได้แก่ Nike (-3.54%) ที่ปรับตัวลงแรง รวมถึง Amazon (-1.30%) และ Honeywell (-0.93%) ที่อ่อนตัวลงเช่นกันค่ะ
สำหรับการเคลื่อนไหวของหุ้นในภาพรวมที่น่าสนใจ ได้แก่ Pfizer ที่พุ่งขึ้นถึง 16% ตลอดสัปดาห์ หลังประกาศข้อตกลงด้านราคายากับรัฐบาลทรัมป์ ขณะที่ Tesla ร่วงลงต่อเนื่อง แม้จะมียอดส่งมอบรถที่แข็งแกร่ง แต่ก็เผชิญกับความกังวลเรื่องดีมานด์ที่เริ่มอ่อนตัว และการสนับสนุนด้านภาษีสำหรับรถ EV ที่ลดลงค่ะ
ไฮไลต์อื่น ๆ รวมถึง Applied Materials (-2.7%) ที่ได้รับผลกระทบจากแนวโน้มรายได้อ่อนแอ เนื่องจากข้อจำกัดการส่งออกของสหรัฐฯ Palantir (-7.5%) หลังมีรายงานเกี่ยวกับช่องโหว่ด้านความปลอดภัยของกองทัพสหรัฐฯ และ USA Rare Earth (+14.3%) ที่ยืนยันว่ามีการติดต่อใกล้ชิดกับทำเนียบขาวค่ะ
นอกเหนือจากดัชนีดาวโจนส์แล้ว กลุ่มหุ้นสุขภาพใน S&P 500 ก็โดดเด่นเช่นกัน นำโดย Humana (+10.6%) Centene (+5.1%) และ Cigna (+4.7%) ในขณะเดียวกัน หุ้นที่เกี่ยวข้องกับคริปโตฯ เช่น Coinbase Riot และ Marathon Digital ก็พุ่งขึ้นตามราคาบิทคอยน์ที่ทะลุ 122,000 ดอลลาร์ค่ะ
อีกหนึ่งหุ้นที่น่าจับตามอง คือ Sandisk ซึ่งพุ่งขึ้น 32% ตลอดทั้งสัปดาห์ และมากถึง 262% ตั้งแต่ต้นปี จากความต้องการหน่วยความจำที่ขับเคลื่อนโดยเทคโนโลยี AI ขณะที่ FICO ก็พุ่งแรง หลังจากประกาศแผนที่จะขายคะแนนเครดิตให้กับผู้ให้สินเชื่อที่อยู่อาศัยโดยตรงค่ะ
นอกจากนี้ นักวิเคราะห์จาก Bank of America ยังได้เพิ่มมุมมองเชิงบวก โดยคาดว่าเม็ดเงินลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI อาจสูงถึง 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี ภายในปี 2030 ซึ่งเป็นปัจจัยหนุนหุ้นกลุ่มผู้ผลิตชิปอย่าง Nvidia AMD และ Broadcom ได้ค่ะ
โดยรวมแล้ว ดัชนีดาวโจนส์ยังคงแสดงความแข็งแกร่ง จากความคาดหวังว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ จะยังคงเดินหน้าลดอัตราดอกเบี้ย โดยตลาดฟิวเจอร์สได้สะท้อนโอกาสว่า จะมีการลดดอกเบี้ย 25 จุดในเดือนตุลาคม และมีแนวโน้มสูงที่จะลดลงอีกครั้งในเดือนธันวาคมค่ะ ซึ่งภาวะการเงินที่ผ่อนคลายเช่นนี้ ช่วยหนุนความต้องการลงทุนในหุ้นบลูชิพ โดยเฉพาะกลุ่มหุ้นป้องกันความเสี่ยงและกลุ่มอุตสาหกรรมค่ะ
อย่างไรก็ตาม ความยั่งยืนของแรงส่งนี้ ยังขึ้นอยู่กับเสถียรภาพทางเศรษฐกิจมหภาค และผลประกอบการของบริษัทหลัก ๆ ในดัชนีดาวโจนส์ค่ะ แม้ว่าพื้นฐานตลาดจะยังดูแข็งแรง แต่ระดับมูลค่าหุ้นที่ยังอยู่ในโซนสูง ทำให้มองได้ว่า หากผลประกอบการออกมาต่ำกว่าคาดหรือมีความไม่แน่นอนด้านนโยบาย ก็อาจกระตุ้นให้เกิดการย่อตัวได้ อีกทั้งยังรวมถึงการพึ่งพิงหุ้นขนาดใหญ่บางตัวมากเกินไปที่อาจส่งผลกระทบต่อความผันผวนของดัชนีได้ค่ะ
บทวิเคราะห์ภาพรวมทางเทคนิคหุ้นสหรัฐ
ดัชนี US30 ยังคงเคลื่อนไหวใกล้บริเวณ 46,900–47,000 และแสดงความแข็งแกร่ง แม้จะมีความไม่แน่นอนในภาพรวมของเศรษฐกิจมหภาค โดยดัชนีนี้ เคลื่อนไหวในกรอบขาขึ้นมาตั้งแต่กลางเดือนกันยายน โดยได้รับแรงสนับสนุนจากแรงซื้อที่ต่อเนื่องในกลุ่มสุขภาพ อุตสาหกรรม และวัสดุก่อสร้าง
ในเชิงเทคนิค ระดับ 46,600 ถือเป็นแนวรับสำคัญแรก ส่วนการปรับฐานที่ลึกลงไป อาจทดสอบแนวรับที่บริเวณ 46,250–46,300 ทั้งนี้ ตราบใดที่ดัชนียังสามารถยืนเหนือระดับ 46,200 โครงสร้างขาขึ้นในภาพรวมยังถือว่าไม่เสียรูปแบบค่ะ
ด้านดัชนี RSI บ่งชี้ถึงโมเมนตัมในเชิงบวกในระดับปานกลาง โดยยังไม่เข้าสู่ภาวะ Overbought ขณะที่ MACD ยังคงอยู่ในแดนบวก แสดงให้เห็นถึงโอกาสในการไปต่อของแนวโน้มค่ะ
ในด้านแนวต้าน แนวต้านแรกจะอยู่ที่ระดับ 47,000 และหากผ่านไปได้ มีเป้าหมายถัดไปที่บริเวณ 47,250–47,400 ซึ่งอาจมีแรงขายทำกำไรระยะสั้นเกิดขึ้นได้ หากสามารถปิดรายวันเหนือระดับ 47,000 ได้อย่างมั่นคง จะถือเป็นสัญญาณของการไปต่อ ซึ่งอาจนำพาดัชนีไปสู่เป้าหมายถัดไปบริเวณ 47,800–48,000 ภายในเดือนตุลาคมนี้ค่ะ
อย่างไรก็ตาม คุณน้าขอแนะนำให้นักลงทุนจับตามองความผันผวนที่จะเพิ่มขึ้น หากสถานการณ์การปิดทำการของรัฐบาลยืดเยื้อออกไป หรือข้อมูลตลาดแรงงานยังคงคลาดเคลื่อน โดยหากดัชนีหลุดระดับ 46,250 ก็อาจเกิดแรงขายทางเทคนิคระยะสั้น และดัชนีอาจลงไปทดสอบบริเวณ 45,900–46,000 ได้ค่ะ
📍ข้อมูลประกอบการวิเคราะห์ทางเทคนิค (US30 / DJIA)
- แนวรับสำคัญ : 46809.1, 46779.6, 46731.9
- แนวต้านสำคัญ : 46904.5, 46934.0, 46981.7
ข่าวที่ส่งผลกระทบต่อแนวโน้มหุ้นสหรัฐ
ที่มา : Forexfactory
กำหนดการรายงานผลประกอบการ
ที่มา : TradingView
📍หุ้นสหรัฐที่น่าจับตามอง
- UnitedHealth Group (UNH): กำลังแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งที่กลับมาอีกครั้ง หลังจากฟื้นตัวขึ้นจากแนวรับที่ $348 ค่ะ ด้านเทคนิคยังยืนยันโมเมนตัมเชิงบวกด้วย RSI ที่สูงกว่า 55 และ MACD ที่ส่งสัญญาณการตัดขึ้นอย่างชัดเจน ถ้าราคาสามารถทะลุผ่าน $370 ได้ จะมีเป้าหมายถัดไปที่ $385–$390 ค่ะ แนวรับยังคงแข็งแกร่งอยู่ราว ๆ $350 ทำให้หุ้นตัวนี้อาจเป็นตัวเลือกที่มีความปลอดภัยที่ควรจับตามองในช่วงตลาดผันผวนค่ะ
- Applied Materials (AMAT): กำลังยืนเหนือระดับ $210 อย่างมั่นคง และยังรักษาเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 50 วันได้ดีค่ะ ซึ่งชี้ให้เห็นถึงโอกาสในเทรนด์ขาขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่ RSI ที่ระดับ 58 บ่งบอกถึงแรงซื้อที่มั่นคง ท่ามกลางปริมาณซื้อขายที่แสดงสัญญาณของการสะสม ถ้าสามารถทะลุผ่าน $220 ได้ จะเปิดทางสู่เป้าหมายระยะสั้นที่ $225–$230 ค่ะ
- SanDisk (SNDK): กำลังซื้อขายเหนือค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 20 วันและ 50 วัน ซึ่งสะท้อนแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่งค่ะ แนวต้านอยู่ที่ $132 และถ้าทะลุผ่านไปได้ เป้าหมายถัดไปจะอยู่ที่ $140 ขณะที่ RSI ใกล้ 63 แสดงให้เห็นว่าโมเมนตัมยังคงอยู่ในทิศทางบวก โดยการปรับฐานลงมาใกล้ ๆ $125 น่าจะดึงดูดแรงซื้อกลับเข้ามาได้อีกครั้งค่ะ
- USAR (USAR): คุณน้าคิดว่า USAR เป็นหุ้นที่มีโอกาสในการเก็งกำไรในกลุ่มพลังงานและทรัพยากรค่ะ ขณะนี้หุ้นกำลังพักฐานในช่วง $25 ถึง $27.20 โดย RSI ขยับสูงขึ้นเล็กน้อย สะท้อนการสะสมหุ้น ถ้าราคาสามารถทะลุผ่าน $26.50 ได้ จะทำให้โมเมนตัมวิ่งไปที่ $28–$30 ขณะที่ความเสี่ยงยังคงสูงเนื่องจากสภาพคล่องต่ำ แต่กราฟโดยรวมยังชี้ไปในทิศทางบวก ถ้าแนวรับที่ $25 ยังคงแข็งแกร่งอยู่ค่ะ
- Nike (NKE): เจอแรงขายเข้ามาเมื่อเร็ว ๆ นี้ แต่ราคายังไม่หลุดแนวรับที่ประมาณ $71 ถ้าฟื้นตัวขึ้นเหนือ $73 จะเปิดทางสู่เป้าหมายที่ $77–$78 ในขณะที่ RSI ที่ 42 แสดงว่าหุ้นกำลังเข้าใกล้ระดับขายมากเกินไป ซึ่งทำให้เป็นหุ้นที่น่าจะฟื้นตัวได้ถ้าแนวโน้มความเชื่อมั่นดีขึ้นค่ะ
🔍คุณน้าแนะนำเทรดหุ้น CFD ไปกับโบรกเกอร์ IUX
IUX มีการให้บริการซื้อขายหุ้น CFD ประกอบไปด้วยหุ้นกลุ่ม Magnificent Seven (M7) อีกทั้งยังมีหุ้นให้เลือกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Coca Cola, Adobe, Alibaba, McDonalds Incorporated และ Netflix เป็นต้น ทำให้เหมาะสำหรับเทรดเดอร์มือใหม่และเทรดเดอร์รายย่อยที่มีต้นทุนจำกัดแล้วต้องการซื้อขายหุ้นระดับโลก
สรุปคุยหุ้นสหรัฐและแนวโน้มในการลงทุน (US30 / DJIA)
จุดน่าเข้า Buy
- Buy/ Long 1 : หากมีการแตะแนวรับที่ช่วงราคา 46609.1 – 46809.1 แต่ไม่สามารถทะลุแนวรับที่ 46809.1 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 46927.1 และ SL ที่ประมาณ 46509.1 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
- Buy/ Long 2 : หากสามารถทะลุแนวต้านที่ช่วงราคา 46904.5 – 47104.5 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 47256.0 และ SL ที่ประมาณ 46709.0 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
จุดน่าเข้า Sell
- Sell/ Short 1 : หากมีการแตะแนวต้านที่ช่วงราคา 46904.5 – 47104.5 แต่ไม่สามารถทะลุแนวต้านที่ 46904.5 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 46802.2 และ SL ที่ประมาณ 47204.5 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
- Sell/ Short 2 : หากสามารถทะลุแนวรับที่ช่วงราคา 46609.1 – 46809.1 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 46250.0 และ SL ที่ประมาณ 47118.0 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
คำเตือน
บทวิเคราะห์นี้ใช้สำหรับการศึกษาข้อมูลของหุ้นสหรัฐเบื้องต้นเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลของสินทรัพย์และศึกษาความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องอย่างละเอียด ประกอบกับศึกษาแนวโน้มหุ้นและข่าวสหรัฐก่อนตัดสินใจลงทุน
สำหรับใครที่สนใจอ่านรีวิวโบรกเกอร์ : Review Brokers
บทความในเรื่องการลงทุนที่น่าสนใจ : Investing
คลังความรู้จากคุณน้า : Knowledge
