หุ้นสหรัฐถือเป็นหุ้นที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก ซึ่งการเคลื่อนไหวของหุ้นสหรัฐเพียงหนึ่งครั้งก็สามารถส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นอื่น ๆ ทั่วโลก ดังนั้น ในบทความนี้เราจะมาคุยหุ้น เจาะลึกปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยทางเทคนิคที่ส่งผลต่อตลาดหุ้นสหรัฐ รวมถึงความเสี่ยงและมุมมองในการลงทุน สายวิเคราะห์หุ้นสหรัฐห้ามพลาดบทความนี้!
คุยหุ้นสหรัฐวันนี้ (US 500/ S&P 500)
บทวิเคราะห์ภาพรวมปัจจัยพื้นฐานหุ้นสหรัฐ
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับฐานลงแรงในวันศุกร์ที่ผ่านมา โดยดัชนี S&P 500 ร่วงลง 1.07% ปิดที่ระดับ 6,827 จุด หลังจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและหุ้นที่เกี่ยวข้องกับ AI ถูกเทขายอีกระลอกจนกลบความเชื่อมั่นเชิงบวกต่อภาพเศรษฐกิจในวงกว้างค่ะ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ปรับตัวสูงขึ้นได้กดดันมูลค่าหุ้น หลังเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ หลายรายซึ่งไม่เห็นด้วยกับการลดดอกเบี้ยในสัปดาห์นี้ ออกมาเตือนว่าเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูง ส่งผลให้บรรยากาศการลงทุนกลับมาอยู่ในโหมดระมัดระวัง แม้ว่าตลาดยังคาดหวังการผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติมในปี 2026 ก็ตาม ส่งผลให้นักลงทุนจึงเริ่มหมุนเงินออกจากหุ้นเติบโตสูงไปสู่กลุ่มหุ้นเชิงรับ โดยหุ้นเทคโนโลยีเผชิญการปรับลงรายวันที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่เดือนตุลาคมค่ะ
นอกจากนี้ แรงกดดันหลักยังมาจากหุ้น AI และเซมิคอนดักเตอร์ขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นตัวฉุดดัชนี S&P 500 มากที่สุด โดย Broadcom ร่วงลงถึง 11.4% หนักที่สุดในดัชนี หลังออกมาเตือนว่ามาร์จิ้นในอนาคตอาจแคบลง และผลตอบแทนจากโครงการศูนย์ข้อมูล AI ขนาดใหญ่จะใช้เวลานานกว่าคาด ทำให้ความกังวลเกี่ยวกับความสามารถในการทำกำไรของการลงทุน AI มูลค่ามหาศาลกลับมาอีกครั้งค่ะ ขณะที่ Oracle ปรับลงอีก 4.5% ส่งผลให้ในช่วงสองวันราคาร่วงรวมกว่า 15% หลังให้ประมาณการที่อ่อนแอ ซึ่งยิ่งตอกย้ำความกังวลเรื่องมูลค่าหุ้นที่ตึงตัวเกินไปในธุรกิจคลาวด์และโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ส่วน Nvidia ปรับลง 3.3% และดัชนี Philadelphia Semiconductor Index ดิ่งลงมากกว่า 5% สะท้อนแรงขายในวงกว้างของหุ้นชิป ไม่ว่าจะเป็น AMD Micron Lam Research Marvell และรายอื่น ๆ ส่งผลให้นักลงทุนจำนวนมากมองความเคลื่อนไหวครั้งนี้ว่าเป็นแรงขายทำกำไรหลังข่าวและความคาดหวังเชิงบวกถูกสะท้อนในราคาหุ้นไปแล้วของธีม AI มากกว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงลบของปัจจัยพื้นฐานระยะยาวค่ะ
นอกเหนือจากกลุ่มเทคโนโลยี หุ้นในดัชนี S&P 500 มีผลการดำเนินงานที่หลากหลายมากขึ้น สะท้อนการโยกย้ายเงินไปสู่หุ้นเชิงรับ โดยกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคจำเป็นทำผลงานดีกว่าตลาด ขณะที่ Lululemon พุ่งขึ้นราว 9–10% กลายเป็นหนึ่งในหุ้นที่ปรับขึ้นแรงที่สุด หลังปรับเพิ่มคาดการณ์กำไรทั้งปี และการประกาศการอำลาตำแหน่งของซีอีโอ ซึ่งนักลงทุนมองว่าเป็นปัจจัยบวกค่ะ ส่วน Costco แม้จะรายงานผลประกอบการและรายได้ดีกว่าคาด แต่ราคาหุ้นแทบไม่เปลี่ยนแปลง สะท้อนว่าความระมัดระวังของตลาดยังจำกัดอัพไซด์ แม้ปัจจัยพื้นฐานจะแข็งแกร่งก็ตาม ส่งผลให้โดยรวมแล้ว จำนวนหุ้นที่ปรับลงมีมากกว่าหุ้นที่ปรับขึ้นมากกว่าสองเท่า ยืนยันว่าการอ่อนตัวครั้งนี้เกิดขึ้นในวงกว้างค่ะ
โดยสรุป คุณน้ามองว่าการปรับลงของดัชนี S&P 500 ครั้งนี้ เป็นการปรับฐานจากมูลค่าที่ตึงตัว ซึ่งกระจุกตัวอยู่ในหุ้น AI และหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ ประกอบกับแรงกดดันจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่สูงขึ้น และการขายทำกำไรหลังทำจุดสูงสุดใหม่ มากกว่าจะเป็นการเปลี่ยนมุมมองต่อภาพเศรษฐกิจโดยรวมค่ะ แม้ว่าการคาดการณ์ระยะยาวจากธนาคารชั้นนำยังคงเป็นบวก โดยได้รับแรงหนุนจากแนวโน้มการลดดอกเบี้ย การเติบโตที่แข็งแกร่งของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และการขยายตัวของกำไรจาก AI แต่การซื้อขายล่าสุดสะท้อนว่าทิศทางตลาดระยะสั้นมีความอ่อนไหวมากขึ้นต่อมาร์จิ้น ความชัดเจนของกระแสเงินสด และจังหวะเวลาที่การลงทุน AI จะเริ่มสร้างผลตอบแทน โดยปัจจัยพื้นฐานรายบริษัทจึงมีความสำคัญมากกว่า AI ในภาพรวมค่ะ
ทั้งนี้ จากมุมมองเชิงปัจจัยพื้นฐาน คุณน้าเห็นว่าดัชนี S&P 500 กำลังอยู่ในช่วงปรับมูลค่าระยะสั้น มากกว่าจะเป็นการเสื่อมถอยเชิงโครงสร้างของแนวโน้มในระยะยาว อย่างไรก็ดี ภาพรวมของกำไรบริษัทยังคงสนับสนุนตลาด โดยธนาคารรายใหญ่คาดว่า EPS จะเติบโตในระดับเลขหลักเดียวค่อนข้างสูง ไปจนถึงเลขสองหลักต่ำ ๆ ต่อเนื่องไปจนถึงปี 2026 จากกิจกรรมเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังแข็งแรง ความคาดหวังต่อนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายลง และประสิทธิภาพการผลิตที่เพิ่มขึ้นจากการนำ AI มาใช้งาน ที่สำคัญ แนวโน้มความสามารถในการทำกำไรของบริษัทขนาดใหญ่ในดัชนี เช่น Nvidia Apple Microsoft Alphabet Amazon Meta และ Broadcom ยังคงเป็นตัวกำหนดกำไรโดยรวมของดัชนี ทำให้ความผันผวนระยะสั้นกระจุกตัวอยู่ในหุ้นผู้นำตลาด มากกว่าจะกระจายไปทั่วทั้งตลาดค่ะ แม้ว่ามูลค่าที่ตึงตัวและความไม่แน่นอนของมาร์จิ้นในบางส่วนของห่วงโซ่อุปทาน AI จะยังเป็นความเสี่ยง แต่การหมุนเงินไปสู่หุ้นเชิงรับและหุ้นผู้บริโภคสะท้อนการปรับสมดุลภายในตลาดที่ยังดี ส่งผลให้ S&P 500 ยังคงมีปัจจัยพื้นฐานรองรับ ตราบใดที่โมเมนตัมกำไรและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจโดยรวมยังคงอยู่ค่ะ
บทวิเคราะห์ภาพรวมทางเทคนิคหุ้นสหรัฐ

จากมุมมองการคาดการณ์ทางเทคนิค ดัชนี S&P 500 (US500) กำลังเข้าสู่ช่วงพักฐานไปจนถึงปรับฐานในระยะสั้น ภายใต้แนวโน้มขาขึ้นระยะกลางที่ยังคงสมบูรณ์ หลังดัชนีไม่สามารถรักษาโมเมนตัมฝั่งขาขึ้นเหนือโซนแนวต้าน 6,900–6,950 ได้ ซึ่งเป็นระดับที่สอดคล้องกับสัญญาณโมเมนตัมที่ตึงตัวเกินไป โดย RSI รายวันได้ปรับตัวลงจากเขตซื้อมากเกินไปเข้าสู่โซนกลาง สะท้อนการชะลอตัวของโมเมนตัม มากกว่าจะเป็นสัญญาณกลับทิศของแนวโน้ม ขณะที่ราคายังยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 50 วันขาขึ้น ทำให้โครงสร้างขาขึ้นโดยรวมยังไม่ถูกทำลายในระยะนี้ค่ะ
ในระยะสั้น แนวรับทางเทคนิคสำคัญแรกอยู่ที่โซน 6,750–6,700 หากดัชนีหลุดลงต่ำกว่าบริเวณดังกล่าวอย่างชัดเจน มีโอกาสเปิดทางให้เกิดการปรับฐานที่ลึกขึ้นไปสู่โซน 6,550–6,600 อย่างไรก็ดี ตราบใดที่ดัชนียังสามารถยืนเหนือระดับ 6,600 ได้ การอ่อนตัวอาจเป็นเพียงการปรับฐานภายในโครงสร้างขาขึ้น มากกว่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของแนวโน้มขาลงค่ะ
ทางด้านฝั่งขาขึ้น การรีบาวด์ใด ๆ มีแนวโน้มเผชิญแรงขายบริเวณใกล้ 6,900 อีกครั้ง ขณะที่แนวต้านที่แข็งแกร่งอยู่ที่ช่วง 7,000–7,050 โดยการปรับตัวขึ้นต่อของดัชนีอาจต้องอาศัยสัญญาณการทรงตัวที่ชัดเจนจากหุ้นเซมิคอนดักเตอร์และหุ้นผู้นำขนาดใหญ่ เช่น NVDA MSFT และ AAPL หากยังไม่เห็นการยืนยันดังกล่าว การฟื้นตัวมีความเสี่ยงที่จะอ่อนแรงลงค่ะ
โดยภาพรวม โครงสร้างทางเทคนิคสะท้อนว่า US500 กำลังเปลี่ยนผ่านจากช่วงขาขึ้นที่ขับเคลื่อนด้วยโมเมนตัม ไปสู่การเคลื่อนไหวในกรอบมากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลต่อความผันผวนและการแกว่งตัวของราคาในช่วงสัปดาห์ข้างหน้า โดยภาพรวมหลักยังคงเป็นการพักตัวในลักษณะไซด์เวย์ถึงอ่อนตัวลงภายในกรอบประมาณ 6,600–7,000 ขณะที่แนวโน้มระยะกลางยังถือว่าเป็นบวก ตราบใดที่แรงกดดันด้านมหภาคหรือผลประกอบการไม่สร้างแรงกระแทกจนดัชนีหลุดต่ำกว่าแนวรับของแนวโน้มหลักอย่างชัดเจนค่ะ
📍ข้อมูลประกอบการวิเคราะห์ทางเทคนิค (US 500/ S&P 500)
- แนวรับสำคัญ : 6815.8, 6810.1, 6800.9
- แนวต้านสำคัญ : 6834.2, 6839.9, 6849.1
ข่าวที่ส่งผลกระทบต่อแนวโน้มหุ้นสหรัฐ

ที่มา : Forexfactory
กำหนดการรายงานผลประกอบการ

ที่มา : TradingView
📍หุ้นสหรัฐที่น่าจับตามอง
- NVIDIA (NVDA): ยังคงอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นหลักบนกราฟรายสัปดาห์ แม้ขณะนี้เข้าสู่ช่วงปรับฐาน หลังไม่สามารถยืนเหนือจุดสูงสุดล่าสุดได้ ขณะที่โมเมนตัมเริ่มชะลอลง โดย RSI ปรับเข้าสู่โซนกลาง สะท้อนแรงซื้อที่ลดลง แนวรับทางเทคนิคสำคัญกระจุกตัวอยู่บริเวณ 168–170 ขณะที่แนวรับระยะกลางอยู่แถว 160 ส่วนแนวต้านหลักแรกอยู่ที่โซน 182–185 โดยเป็นระดับที่ราคาจำเป็นต้องกลับขึ้นไปยืนเหนือโซนดังกล่าวให้ได้ เพื่อยืนยันการกลับมาของโมเมนตัมฝั่งขาขึ้นค่ะ
- Broadcom (AVGO): เผชิญความเสียหายทางเทคนิคอย่างชัดเจน หลังเกิดแรงขายหนักพร้อมปริมาณการซื้อขายสูงภายหลังประกาศผลประกอบการ ส่งผลให้ราคาหลุดลงต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ย 50 วัน และออกจากกรอบขาขึ้นเดิม แม้ RSI จะปรับลงเข้าสู่ภาวะขายมากเกินไปในช่วงสั้น ๆ ซึ่งอาจเปิดโอกาสให้เกิดการดีดกลับระยะสั้นได้ แต่โครงสร้างภาพรวมยังคงอ่อนแอ โดยแนวรับใกล้ที่สุดอยู่บริเวณ 340–345 ขณะที่โซน 380–390 กลายเป็นแนวต้านหลักในปัจจุบัน สะท้อนว่าการฟื้นตัวที่อาจเกิดขึ้นในระยะนี้ยังมีแนวโน้มเป็นเพียงการรีบาวด์เพื่อปรับฐาน เว้นแต่ราคาจะสามารถทะลุผ่านแนวต้านดังกล่าวได้อย่างชัดเจนค่ะ
- Oracle (ORCL): ได้เปลี่ยนจากแนวโน้มขาขึ้นเข้าสู่ภาวะพักฐานเชิงลบ หลังการเบรกขึ้นล้มเหลวและเกิดการปรับลงแรงต่อเนื่องหลายวัน ราคาซื้อขายอยู่ต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ยทั้งระยะสั้นและระยะกลาง ขณะที่ RSI เคลื่อนไหวต่ำกว่า 50 ยืนยันโมเมนตัมเชิงลบ โดยแนวรับบริเวณ 180 มีความสำคัญอย่างมากต่อการทรงตัวในระยะสั้น ส่วนแนวต้านสำคัญได้ขยับลงมาอยู่ที่ช่วง 195–200 ซึ่งราคาจำเป็นต้องกลับขึ้นไปยืนเหนือระดับดังกล่าวให้ได้ เพื่อช่วยปรับมุมมองทางเทคนิคให้ดีขึ้นค่ะ
- Microsoft (MSFT): ยังคงแสดงความแข็งแกร่ง และทำหน้าที่เป็นหุ้นผู้นำภายในดัชนี S&P 500 โดยราคายังยืนเหนือทั้งเส้นค่าเฉลี่ย 50 วัน และ 200 วัน โดยการย่อตัวที่ผ่านมา สะท้อนแรงรองรับจากนักลงทุนสถาบัน และโครงสร้างแนวโน้มที่ยังสมบูรณ์ แนวรับทางเทคนิคอยู่ที่บริเวณ 455–460 ขณะที่หากราคาสามารถทะลุผ่านและยืนเหนือโซน 485–490 ได้อย่างต่อเนื่อง มีโอกาสกระตุ้นการเดินหน้าของแนวโน้มขาขึ้น และตอกย้ำบทบาทของ MSFT ในฐานะหุ้นที่ช่วยพยุงเสถียรภาพของตลาดค่ะ
- Apple (AAPL): ยังคงซื้อขายอยู่ในกรอบแนวโน้มขาขึ้น และมีความผันผวนต่ำกว่าหุ้นกลุ่ม AI โดยตรง โดยราคายังไม่หลุดเส้นแนวโน้มขาขึ้นหลัก และยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ยหลักได้อย่างมั่นคง สะท้อนโครงสร้างขาขึ้นที่ยังคงสมบูรณ์ และลักษณะของหุ้นเติบโตเชิงตั้งรับ แนวรับสำคัญอยู่ที่บริเวณ 270–272 ซึ่งมีบทบาทต่อการรักษาโครงสร้างขาขึ้น ส่วนการปรับขึ้นผ่านระดับ 285 ได้อย่างชัดเจน จะเป็นการยืนยันการเข้าสู่ขาขึ้นรอบใหม่ค่ะ
🔍คุณน้าแนะนำเทรดหุ้น CFD ไปกับโบรกเกอร์ IUX

IUX มีการให้บริการซื้อขายหุ้น CFD ประกอบไปด้วยหุ้นกลุ่ม Magnificent Seven (M7) อีกทั้งยังมีหุ้นให้เลือกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Coca Cola, Adobe, Alibaba, McDonalds Incorporated และ Netflix เป็นต้น ทำให้เหมาะสำหรับเทรดเดอร์มือใหม่และเทรดเดอร์รายย่อยที่มีต้นทุนจำกัดแล้วต้องการซื้อขายหุ้นระดับโลก
สรุปคุยหุ้นสหรัฐและแนวโน้มในการลงทุน (US 500/ S&P 500)
จุดน่าเข้า Buy
- Buy/ Long 1 : หากมีการแตะแนวรับที่ช่วงราคา 6799.8 – 6815.8 แต่ไม่สามารถทะลุแนวรับที่ 6815.8 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 6838.9 และ SL ที่ประมาณ 6791.8 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
- Buy/ Long 2 : หากสามารถทะลุแนวต้านที่ช่วงราคา 6834.2 – 6850.2 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 6863.0 และ SL ที่ประมาณ 6807.8 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
จุดน่าเข้า Sell
- Sell/ Short 1 : หากมีการแตะแนวต้านที่ช่วงราคา 6834.2 – 6850.2 แต่ไม่สามารถทะลุแนวต้านที่ 6834.2 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 6814.8 และ SL ที่ประมาณ 6858.2 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
- Sell/ Short 2 : หากสามารถทะลุแนวรับที่ช่วงราคา 6799.8 – 6815.8 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 6790.7 และ SL ที่ประมาณ 6842.2 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
คำเตือน
บทวิเคราะห์นี้ใช้สำหรับการศึกษาข้อมูลของหุ้นสหรัฐเบื้องต้นเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลของสินทรัพย์และศึกษาความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องอย่างละเอียด ประกอบกับศึกษาแนวโน้มหุ้นและข่าวสหรัฐก่อนตัดสินใจลงทุน
สำหรับใครที่สนใจอ่านรีวิวโบรกเกอร์ : Review Brokers
บทความในเรื่องการลงทุนที่น่าสนใจ : Investing
คลังความรู้จากคุณน้า : Knowledge







