หุ้นสหรัฐถือเป็นหุ้นที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก ซึ่งการเคลื่อนไหวของหุ้นสหรัฐเพียงหนึ่งครั้งก็สามารถส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นอื่น ๆ ทั่วโลก ดังนั้น ในบทความนี้เราจะมาคุยหุ้น เจาะลึกปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยทางเทคนิคที่ส่งผลต่อตลาดหุ้นสหรัฐ รวมถึงความเสี่ยงและมุมมองในการลงทุน สายวิเคราะห์หุ้นสหรัฐห้ามพลาดบทความนี้!
คุยหุ้นสหรัฐวันนี้ (US 500/ S&P 500)
บทวิเคราะห์ภาพรวมปัจจัยพื้นฐานหุ้นสหรัฐ
ดัชนี S&P 500 ยังคงเดินหน้าทำสถิติสูงสุดอย่างต่อเนื่องในวันจันทร์ โดยสามารถปิดเหนือระดับ 6,300 ได้เป็นครั้งแรกค่ะ นักลงทุนเริ่มวางตำแหน่งพอร์ตของตัวเองล่วงหน้าก่อนที่ผลประกอบการของบริษัทต่าง ๆ จะเริ่มประกาศอย่างเข้มข้นในสัปดาห์นี้ แม้จะยังมีความตึงเครียดทางการค้ากับความไม่แน่นอนทางการเมืองที่เกี่ยวข้องกับธนาคารกลางสหรัฐฯ อยู่บ้าง แต่ดัชนีก็ยังสามารถไต่ระดับขึ้นไปได้ โดยได้รับแรงหนุนหลักจากหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีและการสื่อสารที่ทำผลงานได้โดดเด่นค่ะ
ทั้งนี้ ตลาดดูเหมือนจะยังนิ่งแม้ว่าเส้นตายวันที่ 1 สิงหาคมของประธานาธิบดีทรัมป์เกี่ยวกับการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากยุโรปและประเทศคู่ค้ารายอื่น ๆ ระหว่าง 15%–30% กำลังใกล้เข้ามาค่ะ ซึ่งอาจส่งแรงกระเพื่อมให้กับตลาดในระยะสั้น อีกทั้ง สัปดาห์นี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของฤดูกาลประกาศผลประกอบการไตรมาส 2 โดยขณะนี้ยังมีบริษัทในดัชนี S&P 500 มากกว่า 85% ที่ยังไม่รายงานค่ะ
อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการที่มีประกาศออกมาแล้วถือว่าออกมาดีค่ะ โดยประมาณ 86% ของบริษัทที่รายงาน พบว่า กำไรดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ และ 67% มียอดขายสูงกว่าคาด ปัจจุบันนักวิเคราะห์คาดว่า กำไรของบริษัทใน S&P 500 จะเพิ่มขึ้น 6.7% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยแรงหนุนหลักมาจากหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ค่ะ นักลงทุนจำนวนมากกำลังจับตาหุ้น “Magnificent Seven” โดยเฉพาะ Alphabet และ Tesla ที่จะรายงานผลในวันพุธนี้ ซึ่งน่าจะมีอิทธิพลต่อทิศทางของตลาดในวงกว้างค่ะ
นอกจากนี้ หุ้นรายตัวยังมีผลช่วยผลักดันตลาดขึ้นค่ะ Alphabet (GOOGL) เพิ่มขึ้น 2.7% ก่อนประกาศงบ ส่วน Tesla (TSLA) มีการอ่อนตัวเล็กน้อย Verizon (VZ) พุ่งขึ้นกว่า 4% หลังปรับเพิ่มประมาณการกำไรทั้งปี ขณะที่หุ้นรายใหญ่ตัวอื่นอย่าง Intel (INTC), IBM (IBM) และ Texas Instruments (TXN) ก็กำลังจะรายงานผลเช่นกันค่ะ ท่ามกลางบริษัทยักษ์ใหญ่อื่น ๆ เช่น General Motors (GM), Coca-Cola (KO) และ Union Pacific (UNP) ที่จะเปิดเผยผลประกอบการในสัปดาห์นี้เช่นกัน ซึ่งจะช่วยให้เห็นภาพรวมของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ได้ชัดเจนขึ้นค่ะ
ในด้านของผลตอบแทนตามกลุ่มอุตสาหกรรมมีถึง 7 จาก 11 กลุ่มในดัชนี S&P 500 ที่ปรับตัวขึ้นในวันจันทร์ โดยกลุ่มสื่อสารและสินค้าฟุ่มเฟือยนำมาเป็นอันดับต้น ๆ ขณะที่ดัชนี Dow Jones Industrial Average ปิดค่อนข้างนิ่งท่ามกลางข่าวสารที่หลากหลายทั้งจากผลประกอบการและประเด็นการค้า
ด้านกลุ่มอุตสาหกรรม (Industrials) ซึ่งเป็นกลุ่มที่โดดเด่นในปีนี้ มีผลตอบแทนแล้วถึง 15% ตั้งแต่ต้นปี นำโดยบริษัทด้านการป้องกันประเทศและอวกาศอย่าง Lockheed Martin (LMT) และ RTX Corp (RTX) ซึ่งทั้งคู่จะรายงานผลในสัปดาห์นี้ค่ะ
นอกจากนี้ อีกหนึ่งปัจจัยที่ช่วยหนุนดัชนีก็คือ การที่ Block (SQ) ซึ่งเดิม Square ได้ถูกบรรจุเข้าไปอยู่ในดัชนี S&P 500 แทนที่ Hess Corp หลังควบรวมกิจการกับ Chevron ค่ะ เหตุการณ์นี้ถือว่า สะท้อนถึงบทบาทที่เพิ่มขึ้นของบริษัทฟินเทคในระบบเศรษฐกิจสหรัฐฯ และยังส่งผลให้มีความต้องการซื้อกองทุนที่อิงตามดัชนีอีกด้วย โดยนักวิเคราะห์มองว่า การที่ Block ได้เข้าสู่ดัชนีหลักนี้ บ่งชี้ถึงความเติบโตและความแข็งแรงของภาคฟินเทคในระยะยาวค่ะ
แม้โดยรวมของบรรยากาศผลประกอบการจะดูสดใส แต่ก็ยังมีความระมัดระวังในเรื่องนโยบายการค้าระหว่างประเทศอยู่ค่ะ อย่างไรก็ตาม นักลงทุนหลายรายก็เริ่มมองข้ามผลกระทบในระยะสั้น โดยเชื่อว่า ผลกระทบจริงต่อเศรษฐกิจอาจไม่ได้รุนแรงอย่างที่กังวล ขณะที่ Goldman Sachs ให้ความเห็นว่า ข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุด อย่างเช่น ยอดค้าปลีกและจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานที่ดีกว่าคาด บ่งชี้ว่า ภาษีนำเข้ายังไม่กระทบต่อการใช้จ่ายของผู้บริโภคหรือเงินเฟ้อมากนักในตอนนี้ค่ะ
มองไปข้างหน้า ความสนใจของนักลงทุนยังคงแบ่งออกระหว่างผลประกอบการบริษัทและแนวโน้มนโยบายเศรษฐกิจมหภาค แม้ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ จะมีแนวโน้มคงดอกเบี้ยไว้ในการประชุมของเดือนกรกฎาคมนี้ แต่นักลงทุนเริ่มประเมินความเป็นไปได้ที่ Fed อาจจะลดดอกเบี้ยในเดือนกันยายนมากขึ้นเรื่อย ๆ แรงกดดันจากประธานาธิบดีทรัมป์ต่อเจอโรม พาวเวลล์ ประธาน Fed ก็ยิ่งเพิ่มความไม่แน่นอนค่ะ
อย่างไรก็ดี แม้จะมีแรงกดดันจากทั้งด้านภูมิรัฐศาสตร์และนโยบายการเงิน แต่ดัชนี S&P 500 ก็ยังสามารถปรับตัวขึ้นได้ราว 7–8% แล้วในปี 2025 ค่ะ Goldman Sachs ยังคงมองตลาดในเชิงบวก โดยคาดว่า ดัชนีจะขึ้นไปแตะระดับ 6,900 ภายในหนึ่งปี หากพื้นฐานกำไรยังมั่นคง ค่าเงินดอลลาร์อ่อนลง และเศรษฐกิจในปี 2026 ยังคงมีแนวโน้มสดใส และหากผลประกอบการในอนาคตออกมาต่ำกว่าคาด หรือเกิดความตึงเครียดทางการค้าเพิ่มขึ้น อาจจะส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุน ดังนั้น สัปดาห์นี้จึงถือเป็นบททดสอบสำคัญของโมเมนตัมตลาดค่ะ
บทวิเคราะห์ภาพรวมทางเทคนิคหุ้นสหรัฐ

ดัชนี S&P 500 จากมุมมองทางเทคนิค ดัชนีได้ทะลุแนวต้านทางจิตวิทยาที่ระดับ 6,300 ขึ้นมาอย่างชัดเจน และตอนนี้ได้เปลี่ยนแนวต้านเดิมให้กลายเป็นแนวรับระยะสั้นเรียบร้อยแล้ว ตัวชี้วัดโมเมนตัมยังคงเป็นบวก โดย RSI อยู่ใกล้ระดับ Overbought แต่ยังไม่ส่งสัญญาณว่าเริ่มอ่อนแรง ซึ่งแปลว่ายังมีพื้นที่ให้ขยับขึ้นไปต่อได้ในระยะสั้นค่ะ
หากสามารถยืนเหนือระดับ 6,300 ได้อย่างมั่นคง เป้าหมายเชิงบวกถัดไปจะอยู่ที่บริเวณ 6,360–6,400 จุด ส่วนด้านล่าง แนวรับแรกอยู่ที่ 6,270 จุด และถ้ามีแรงกดดันจากปัจจัยมหภาค ตรงระดับ 6,230–6,250 จะเป็นบริเวณที่มีแรงซื้อกลับเข้ามาชัดเจนค่ะ ขณะเดียวกัน ดัชนีความผันผวน (VIX) ยังคงอยู่ในระดับต่ำที่ 16.64 ซึ่งแสดงว่าตลาดยังไม่ได้สะท้อนความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในระยะสั้นอย่างมีนัยสำคัญ นักลงทุนควรจับตาดูคำปราศรัยของประธาน Fed และรายงานกิจกรรมทางธุรกิจในวันพฤหัสบดีนี้ที่อาจเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการเคลื่อนไหวของตลาดได้ค่ะ
📍ข้อมูลประกอบการวิเคราะห์ทางเทคนิค (US 500/ S&P 500)
- แนวรับสำคัญ : 6302.7, 6294.3, 6280.6
- แนวต้านสำคัญ : 6330.1, 6338.5, 6352.2
ข่าวที่ส่งผลกระทบต่อแนวโน้มหุ้นสหรัฐ

ที่มา : Forexfactory
กำหนดการรายงานผลประกอบการ

ที่มา : TradingView
📍หุ้นสหรัฐที่น่าจับตามอง
- Alphabet Inc. (GOOGL) : ยังคงอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่งจากแรงสนับสนุนของบริการ Cloud และโมเมนตัมด้าน AI ทางเทคนิค หุ้นกำลังอยู่ในช่วงสะสมกำลังใกล้แนวต้านจิตวิทยาที่ $195–$200 หากผลประกอบการออกมาดีกว่าคาดและหุ้นสามารถทะลุ $200 ได้อย่างชัดเจน จะเปิดทางไปสู่โซน $210–$215 โดยมีแรงผลักจาก FOMO และการเข้าซื้อของสถาบันต่อเนื่อง ขณะที่ปริมาณซื้อขายยังคงเสริมแรงหนุน และ RSI อยู่ต่ำกว่า 70 เล็กน้อย ซึ่งหมายความว่าการปรับขึ้นยังไม่เข้าสู่ภาวะ Overbought อย่างเต็มตัวค่ะ
- Tesla Inc. (TSLA) : ฟื้นตัวแรงและได้ทะลุแนวต้านเดิมที่ $300 ขึ้นมาอย่างมั่นคง ยืนยันรูปแบบการกลับตัวขาขึ้น แต่ขณะนี้กำลังเข้าใกล้แนวต้านหลักบริเวณ $330–$340 RSI อยู่ในเขต Overbought ที่ระดับ 75 และความผันผวนโดยนัยพุ่งขึ้นสูงก่อนประกาศผลประกอบการ ซึ่งบ่งชี้ว่า ตลาดยังคาดว่าจะมีการเคลื่อนไหวที่รุนแรง โดยหลังประกาศผล หากตัวเลขออกมาดีกว่าเป้า เป้าหมายขาขึ้นถัดไปจะอยู่ที่ $360–$370 แต่ถ้าออกมาน่าผิดหวัง โดยเฉพาะในเรื่อง Margin หรือยอดส่งมอบสินค้า ราคามีความเสี่ยงที่จะร่วงลงต่ำกว่า $310 โดยมีแนวรับถัดไปที่ $295 ค่ะ
- Intel Corp. (INTC) : เชิงเทคนิคยังคงอ่อนแอ โดยล่าสุดราคาหลุดแนวรับระยะยาวที่ $25 ลงมา ซึ่งขณะนี้ได้กลายเป็นแนวต้าน ช่องว่างระหว่างราคาปัจจุบันกับเส้นค่าเฉลี่ย 50 วัน แสดงให้เห็นถึง Sentiment เชิงลบที่ยังคงอยู่ การรายงานผลประกอบการจะเป็นจุดตัดสินทิศทาง หากบริษัทให้แนวโน้มบวกในเรื่องกลยุทธ์ AI หรือการควบคุมต้นทุน อาจเกิดแรงซื้อคืน ดันราคาไปทดสอบ $26.50 และ $29.80 แต่หากไม่มีปัจจัยบวกที่ชัดเจน หุ้นอาจค่อย ๆ ไหลลงไปยังโซน $20–$21 อีกครั้งค่ะ โดยขณะนี้โมเมนตัมยังแผ่ว และ MACD ยังอยู่ในแดนลบ แสดงว่าฝั่งขายยังครองความได้เปรียบอยู่ค่ะ
- RTX Corp. (RTX) : เคลื่อนไหวในกรอบขาขึ้นอย่างชัดเจนตั้งแต่ต้นปี โดยได้รับแรงหนุนจากคำสั่งซื้อด้านกลาโหมที่เพิ่มขึ้นและปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์ หุ้นสามารถทะลุแนวต้านระยะยาวที่ $145 ได้ และเปลี่ยนเป็นแนวรับอย่างแข็งแกร่ง อีกทั้งขณะนี้กำลังได้รับแรงซื้อเข้ามาก่อนการรายงานผลประกอบการ โดยมีเป้าหมายทดสอบบริเวณ $156–$158 และ RSI อยู่ที่ประมาณ 68 แม้ใกล้ระดับ Overbought แต่ยังสะท้อนแรงส่ง หากผลออกมาดีกว่าคาด มีโอกาสเข้าสู่ระดับเหนือ $160 แต่ถ้าผลไม่เข้าเป้า ก็อาจเห็นแรงขายดึงราคากลับไปที่ $143–$145 ค่ะ
- Coca-Cola Co. (KO) : ได้พยายามออกจากกรอบราคาระหว่าง $58 ถึง $64.50 ซึ่งการขึ้นมาที่ $70 สะท้อนกระแสเงินไหลเข้าหุ้นป้องกันความเสี่ยง (Defensive Stocks) ในช่วงที่เศรษฐกิจยังไม่แน่นอน อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ราคากำลังชนแนวต้านที่ $71–$72 ขณะที่เส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน บริเวณ $61 ยังเป็นแนวรับสำคัญ หากผลประกอบการออกมาดี หุ้นมีโอกาสขึ้นต่อถึง $75 แต่ถ้าพลาดเป้าหรือมีแนวโน้มที่อ่อนแอ ก็อาจเกิดแรงขายทำกำไรและถอยลงมายังโซนกลาง $60 ได้ค่ะ
- NXP Semiconductors (NXPI) : แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่ง โดยสามารถยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 50 และ 200 วันได้อย่างมั่นคง และกำลังก่อตัวฐานราคาบริเวณ $220 ขณะนี้กำลังเข้าใกล้แนวต้านทางเทคนิคที่ $235–$240 ซึ่งหากทะลุได้ จะเป็นสัญญาณที่ชัดเจนและอาจนำไปสู่การเร่งขึ้นต่อถึง $250–$255 โดยเฉพาะหากยอดขายชิปในภาคยานยนต์และอุตสาหกรรมออกมาดีกว่าคาด ตัวชี้วัดโมเมนตัมยังอยู่ในฝั่งบวก หากผลประกอบการแข็งแกร่ง คุณน้าว่าก็มีโอกาสเห็นแรงซื้อค่ะ แต่ถ้าออกมาน่าผิดหวัง แนวรับที่ต้องจับตาจะอยู่ที่ $215 และแนวลึกสุดที่ $205 ค่ะ
🔍คุณน้าแนะนำเทรดหุ้น CFD ไปกับโบรกเกอร์ IUX

IUX มีการให้บริการซื้อขายหุ้น CFD ประกอบไปด้วยหุ้นกลุ่ม Magnificent Seven (M7) อีกทั้งยังมีหุ้นให้เลือกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Coca Cola, Adobe, Alibaba, McDonalds Incorporated และ Netflix เป็นต้น ทำให้เหมาะสำหรับเทรดเดอร์มือใหม่และเทรดเดอร์รายย่อยที่มีต้นทุนจำกัดแล้วต้องการซื้อขายหุ้นระดับโลก
สรุปคุยหุ้นสหรัฐและแนวโน้มในการลงทุน (US 500/ S&P 500)
จุดน่าเข้า Buy
- Buy/ Long 1 : หากมีการแตะแนวรับที่ช่วงราคา 6278.7 – 6302.7 แต่ไม่สามารถทะลุแนวรับที่ 6302.7 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 6331.9 และ SL ที่ประมาณ 6266.7 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
- Buy/ Long 2 : หากสามารถทะลุแนวต้านที่ช่วงราคา 6330.1 – 6354.1 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 6367.7 และ SL ที่ประมาณ 6290.7 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
จุดน่าเข้า Sell
- Sell/ Short 1 : หากมีการแตะแนวต้านที่ช่วงราคา 6330.1 – 6354.1 แต่ไม่สามารถทะลุแนวต้านที่ 6330.1 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 6296.1 และ SL ที่ประมาณ 6366.1 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
- Sell/ Short 2 : หากสามารถทะลุแนวรับที่ช่วงราคา 6278.7 – 6302.7 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 6260.3 และ SL ที่ประมาณ 6342.1 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
คำเตือน
บทวิเคราะห์นี้ใช้สำหรับการศึกษาข้อมูลของหุ้นสหรัฐเบื้องต้นเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลของสินทรัพย์และศึกษาความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องอย่างละเอียด ประกอบกับศึกษาแนวโน้มหุ้นและข่าวสหรัฐก่อนตัดสินใจลงทุน
สำหรับใครที่สนใจอ่านรีวิวโบรกเกอร์ : Review Brokers
บทความในเรื่องการลงทุนที่น่าสนใจ : Investing
คลังความรู้จากคุณน้า : Knowledge