หุ้นสหรัฐถือเป็นหุ้นที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก ซึ่งการเคลื่อนไหวของหุ้นสหรัฐเพียงหนึ่งครั้งก็สามารถส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นอื่น ๆ ทั่วโลก ดังนั้น ในบทความนี้เราจะมาคุยหุ้น เจาะลึกปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยทางเทคนิคที่ส่งผลต่อตลาดหุ้นสหรัฐ รวมถึงความเสี่ยงและมุมมองในการลงทุน สายวิเคราะห์หุ้นสหรัฐห้ามพลาดบทความนี้!
คุยหุ้นสหรัฐวันนี้ (US30 / DJIA)
บทวิเคราะห์ภาพรวมปัจจัยพื้นฐานหุ้นสหรัฐ
เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวลดลง 0.14% แม้ว่าดัชนี S&P 500 และ Nasdaq จะสามารถปิดทำสถิติสูงสุดใหม่ โดยเพิ่มขึ้น 0.02% และ 0.33% ตามลำดับค่ะ ซึ่งจุดอ่อนของดาวโจนส์ในครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากกระแสความหวังเกี่ยวกับข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปเริ่มจางลง ประกอบกับการจับตาการประชุมธนาคารกลางหลายแห่งทั่วโลก รวมถึงการแถลงผลประกอบการของบริษัทยักษ์ใหญ่ และข้อมูลเศรษฐกิจที่กำลังจะทยอยเปิดเผยในสัปดาห์นี้ค่ะ
แม้ว่าตลาดโดยรวมจะได้รับแรงหนุนจากความคาดหวังเรื่อง AI และผลประกอบการที่ยังแข็งแกร่ง แต่ดาวโจนส์กลับถูกกดดันจากหุ้นขนาดใหญ่บางตัวที่อ่อนตัวลงค่ะ โดยหุ้นที่ลดลงแรงที่สุดในกลุ่ม คือ Travelers Companies (TRV) ที่ร่วงลงถึง 2.35% ตามด้วย Amgen (AMGN) ลดลง 1.72% และ Verizon (VZ) ลดลง 1.67% ซึ่งการปรับลงของหุ้นเหล่านี้ได้พลิกกลับผลบวกจากหุ้นตัวอื่นไปพอสมควรค่ะ
อย่างไรก็ดี ยังมีหุ้นบางตัวในดัชนีดาวโจนส์ที่แสดงความแข็งแกร่ง เช่น Nike (NKE) ที่พุ่งขึ้นถึง 3.89% หลังจากที่ J.P. Morgan ปรับคำแนะนำขึ้นจาก “ถือ” เป็น “น้ำหนักมากกว่าตลาด” (Overweight) พร้อมแนะนำให้นักลงทุน “ซื้อไว้” ท่ามกลางสัญญาณการฟื้นตัวที่เริ่มชัดเจนค่ะ อีกทั้ง Nvidia (NVDA) ยังเดินหน้าทำสถิติสูงสุดใหม่โดยเพิ่มขึ้น 1.87% และ Boeing (BA) ก็เพิ่มขึ้น 1.42% ทะลุระดับสูงสุดในรอบ 52 สัปดาห์อีกครั้ง สะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่ปรับตัวดีขึ้นในภาคอุตสาหกรรมค่ะ
นอกจากนี้ ยังมีหุ้นรายตัวที่น่าสนใจ เช่น Advanced Micro Devices (AMD) ที่เพิ่มขึ้น 4.33% ทำจุดสูงสุดใหม่ในรอบ 52 สัปดาห์ และ Tesla (TSLA) ที่พุ่งขึ้น 4% หลังประกาศดีลผลิตชิปกับ Samsung มูลค่า 16.5 พันล้านดอลลาร์ ในทางกลับกัน Cisco Systems (CSCO) ลดลงเกือบ 2% หลังถูก Evercore ปรับลดอันดับเนื่องจากมองว่า Upside ของหุ้นมีจำกัดค่ะ
ทั้งนี้ ถึงแม้บรรยากาศโดยรวมจะเป็นบวก แต่ความกังวลยังคงอยู่ โดยในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีทรัมป์และประธานคณะกรรมาธิการยุโรป อูร์ซูลา ฟอน แดร์ ไลเอิน ได้ประกาศข้อตกลงทางการค้าที่สำคัญร่วมกัน ซึ่งข้อตกลงนี้ประกอบด้วยการกำหนดอัตราภาษีนำเข้าใหม่ที่ 15% ต่ำกว่าที่เคยขู่ไว้ที่ 30% นอกจากนี้ EU ยังตกลงที่จะนำเข้าพลังงานจากสหรัฐฯ มูลค่า 750 พันล้านดอลลาร์ และลงทุนในสินค้าสหรัฐฯ รวมถึงยุทโธปกรณ์อีก 600 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่นักวิเคราะห์เตือนว่าการไม่มีเอกสารทางการ อาจส่งผลให้ข้อตกลงนี้ไม่ยั่งยืนในระยะยาวค่ะ
ในขณะเดียวกัน การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนก็กลับมาเริ่มต้นอีกครั้งที่กรุงสตอกโฮล์ม โดยทั้งสองฝ่ายตั้งเป้าจะขยายระยะเวลาพักรบทางภาษีออกไปอีก 90 วัน ซึ่งการพักรบเดิมมีกำหนดหมดอายุในวันที่ 12 สิงหาคมค่ะ โดยทางสื่อ South China Morning Post รายงานว่าการเจรจาครั้งนี้ ยังรวมถึงประเด็นโครงสร้างเชิงอุตสาหกรรมของจีน เช่น ปัญหากำลังการผลิตส่วนเกิน เป็นต้น และยังไม่มีการคาดการณ์ว่าจะมีการเก็บภาษีใหม่ในช่วงนี้ค่ะ
นักลงทุนในขณะนี้จึงหันมาจับตาการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ ซึ่งจะมีขึ้นเป็นเวลา 2 วัน โดยจะสิ้นสุดในวันพุธนี้ แม้ว่า Fed จะยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 4.25%-4.5% แต่ตลาดจะจับตาสัญญาณเกี่ยวกับการปรับลดดอกเบี้ยในเดือนกันยายนหรือธันวาคมค่ะ ขณะที่ข้อมูลเงินเฟ้อ โดยเฉพาะดัชนี PCE ประจำเดือนมิถุนายน และข้อมูลตลาดแรงงานที่กำลังจะเปิดเผย เช่น รายงาน JOLTS ตัวเลขจ้างงาน ADP และ Nonfarm Payrolls ประจำเดือนกรกฎาคม ก็จะมีผลต่อทิศทางตลาดอย่างมากค่ะ
นอกจากนี้ อีกปัจจัยหนึ่งที่นักลงทุนต้องเผชิญ คือ การแถลงผลประกอบการของบริษัทใน S&P 500 กว่า 150 แห่งในสัปดาห์นี้ โดยเฉพาะกลุ่ม “Magnificent Seven” อย่าง Meta, Microsoft, Apple และ Amazon ที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะอัปเดตข้อมูลเกี่ยวกับการลงทุนด้าน AI ซึ่งเป็นธีมหลักของการปรับตัวขึ้นของหุ้นเทคในปีนี้ค่ะ และนอกจากกลุ่มเทค ยังมี Visa และ Mastercard ที่เตรียมรายงานผล ซึ่งจะช่วยบ่งชี้ถึงพลังการใช้จ่ายของผู้บริโภคในสหรัฐฯ ค่ะ
อย่างไรก็ดี แม้ดาวโจนส์จะติดลบเล็กน้อย แต่นักวิเคราะห์จาก Morgan Stanley ยังคงมองบวกกับตลาดในภาพรวม โดยคาดการณ์ว่า ดัชนีหลักอื่น ๆ อย่าง S&P 500 อาจแตะระดับ 7,200 จุดภายในกลางปี 2026 จากแรงหนุนของผลประกอบการที่ดีขึ้น การลงทุนด้าน AI และโอกาสที่ Fed จะลดดอกเบี้ยในช่วง 12 เดือนข้างหน้าค่ะ โดยการอ่อนตัวของดาวโจนส์ในครั้งนี้สะท้อนถึงความระมัดระวังของนักลงทุนก่อนเข้าสู่สัปดาห์แห่งการตัดสินใจ ซึ่งข้อมูลเศรษฐกิจและกำไรของบริษัทอาจเป็นตัวกำหนดทิศทางระยะต่อไปค่ะ
บทวิเคราะห์ภาพรวมทางเทคนิคหุ้นสหรัฐ

ปัจจุบันดัชนี US30 กำลังทดสอบแนวต้านสำคัญบริเวณ 44,880 จุด หากดัชนียังสามารถรักษาโมเมนตัมนี้ไว้ได้ มีโอกาสที่ราคาจะทะลุไปยังช่วง 45,000–45,050 จุด และอาจต่อเนื่องไปถึงแนวต้านถัดไปที่ 45,300–45,500 จุดค่ะ
อย่างไรก็ดี หากแนวต้านดังกล่าวยังแข็งแกร่งเกินไป อาจมีแรงขายทำกำไรกลับลงมา โดยแนวรับแรกอยู่ที่บริเวณ 44,700 จุด และหากแรงขายเพิ่มขึ้น อาจถอยลงมาที่แนวรับถัดไปที่ 44,500–44,300 จุดได้ค่ะ
ในด้านอินดิเคเตอร์ทางเทคนิค ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ระยะสั้นเริ่มส่งสัญญาณอ่อนแรง แสดงถึงแรงขายในรอบสั้น ๆ ขณะที่เส้นระยะยาวอย่าง 100 และ 200 วัน ยังคงสะท้อนโครงสร้างตลาดที่แข็งแรงในภาพรวมอยู่ค่ะ
โดยสรุปแล้ว ถ้าดัชนีปิดเหนือ 45,000 จุดได้อย่างชัดเจน อาจเป็นสัญญาณว่า ขาขึ้นยังเดินหน้าต่อไปได้ถึง 45,200–45,500 จุด แต่หากไม่ผ่านแนวต้านนี้ ก็อาจถอยลงมาทดสอบบริเวณ 44,700–44,500 จุด โดยระดับล่างสุดของช่วงราคาใกล้ 44,150 ถือเป็นแนวรับที่มีความสำคัญค่ะ
📍ข้อมูลประกอบการวิเคราะห์ทางเทคนิค (US30 / DJIA)
- แนวรับสำคัญ : 44756.4, 44662.6, 44510.6
- แนวต้านสำคัญ : 45060.4, 45154.2, 45306.2
ข่าวที่ส่งผลกระทบต่อแนวโน้มหุ้นสหรัฐ

ที่มา : Forexfactory
กำหนดการรายงานผลประกอบการ

ที่มา : TradingView
📍หุ้นสหรัฐที่น่าจับตามอง
- Nike (NKE) : ปรับตัวขึ้นเกือบ 3.9% หลังจากได้รับการปรับคำแนะนำที่ดีขึ้นจากนักวิเคราะห์ และทะลุแนวต้านบริเวณ $77.50 ซึ่งถือเป็นสัญญาณทางเทคนิคที่น่าสนใจค่ะ แม้ว่าแนวโน้มระยะยาวจะยังดูเป็นบวก แต่สัญญาณระยะสั้นยังมีความหลากหลายอยู่บ้าง โดย RSI อยู่ในโซนกลางที่ประมาณ 47.5 และทั้ง MACD กับเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ระยะสั้นก็ยังแสดงแรงกดดันขาลงในบางส่วน โดยเป้าหมายราคาหุ้นในช่วง 12 เดือนข้างหน้าถูกประเมินไว้ระหว่าง $78 ถึง $93 ซึ่งแปลว่าหุ้นยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นในระดับปานกลางถึงมาก ขึ้นอยู่กับมุมมองของนักลงทุนค่ะ
- NVIDIA (NVDA) : ยังพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดได้ทำจุดสูงสุดใหม่ตลอดกาลแถว $176–177 แม้ว่า RSI จะเริ่มปรับตัวสูงขึ้น แต่ก็ยังไม่เข้าสู่เขต Overbought แปลว่ายังมีโอกาสไปต่อได้อีกค่ะ ซึ่งเป้าหมายระยะสั้นอยู่ใกล้ ๆ ระดับ $178 และในกรณีที่แรงซื้อยังเดินหน้าต่อเนื่อง นักวิเคราะห์บางรายคาดว่าอาจเห็นราคาขยับไปถึง $300 ได้ภายในสิ้นปีนี้เลยค่ะ
- Boeing (BA) : ปรับตัวขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 52 สัปดาห์ ซึ่งแรงหนุนมาจากปัจจัยพื้นฐานที่ปรับตัวดีขึ้น และการปรับคำแนะนำจากนักวิเคราะห์ที่ตั้งเป้าราคาใหม่ไว้ที่ประมาณ $266 โดยปัจจุบัน ราคากำลังทดสอบแนวต้านสำคัญบริเวณ $235–$237 ถ้าผลประกอบการในไตรมาสถัดไปออกมาดี และสนับสนุนภาพฟื้นตัวตามที่ตลาดคาดไว้ เป้าหมายทางเทคนิคถัดไปจะอยู่ในช่วง $260–$270 ขณะที่ปริมาณการซื้อขายที่แข็งแกร่งและบรรยากาศเชิงบวกในตลาดก็ยังช่วยเสริมแนวโน้มขาขึ้นให้กับหุ้นตัวนี้อีกแรงค่ะ
- Advanced Micro Devices (AMD) : ยังคงเคลื่อนไหวในทิศทางขาขึ้น หลังจากราคาพุ่งกว่า 10% ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ตามกระแสเชิงบวกจากการปรับคำแนะนำเป็น “ซื้อ” จากหลายโบรกเกอร์ ซึ่งให้เป้าราคาระยะ 12 เดือนที่ $200 หากการเปิดตัวชิปประสบความสำเร็จในการเจาะตลาด AI GPU ที่ครองโดย Nvidia ขณะที่สัญญาณทางเทคนิคยังคงอยู่ในแดนบวก RSI ปรับตัวสูงขึ้นเข้าใกล้เขต Overbought อาจทำให้ราคาหุ้นเข้าสู่ช่วงพักฐานได้ในระยะสั้น แม้ว่าสัญญาณค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ระยะกลางและระยะยาวยังคงเป็นบวก โดยระดับแนวต้านระยะสั้นอยู่ที่ $175.0 และระดับถัดไปที่ $181.5 ส่วนแนวรับอยู่ที่ $168.5 และ $165 โดยมีแนวลึกที่ $159 หากมีการพักตัวแรง
- Tesla (TSLA) : ดีดกลับขึ้นมาอย่างรวดเร็ว หลังจากร่วงลงไปแตะระดับต่ำกว่า $300 หลังการรายงานผลประกอบการไตรมาส 2 ที่ต่ำกว่าคาด ปัจจุบันราคาฟื้นตัวจากแรงที่ซื้อกลับเข้ามา หลังจาก Elon Musk ส่งสัญญาณว่าการส่งมอบรถ Cybertruck จะเร่งตัวในครึ่งหลังของปี โดยในเชิงเทคนิค MACD พลิกกลับมาเป็นบวกเล็กน้อย ขณะที่ RSI ยังไม่เข้าสู่ภาวะ Overbought ซึ่งแนวต้านจะอยู่ที่ $330 และ $340 ขณะที่แนวรับจะอยู่ที่ $318 และ $310 โดยรูปแบบราคาปัจจุบันอาจนำไปสู่การ Breakout รุนแรงในทิศทางใดทิศทางหนึ่งได้ค่ะ
🔍คุณน้าแนะนำเทรดหุ้น CFD ไปกับโบรกเกอร์ IUX

IUX มีการให้บริการซื้อขายหุ้น CFD ประกอบไปด้วยหุ้นกลุ่ม Magnificent Seven (M7) อีกทั้งยังมีหุ้นให้เลือกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Coca Cola, Adobe, Alibaba, McDonalds Incorporated และ Netflix เป็นต้น ทำให้เหมาะสำหรับเทรดเดอร์มือใหม่และเทรดเดอร์รายย่อยที่มีต้นทุนจำกัดแล้วต้องการซื้อขายหุ้นระดับโลก
สรุปคุยหุ้นสหรัฐและแนวโน้มในการลงทุน (US30 / DJIA)
จุดน่าเข้า Buy
- Buy/ Long 1 : หากมีการแตะแนวรับที่ช่วงราคา 44426.4 – 44756.4 แต่ไม่สามารถทะลุแนวรับที่ 44756.4 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 45079.6 และ SL ที่ประมาณ 44261.4 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
- Buy/ Long 2 : หากสามารถทะลุแนวต้านที่ช่วงราคา 45060.4 – 45390.4 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 45477.4 และ SL ที่ประมาณ 44591.4 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
จุดน่าเข้า Sell
- Sell/ Short 1 : หากมีการแตะแนวต้านที่ช่วงราคา 45060.4 – 45390.4 แต่ไม่สามารถทะลุแนวต้านที่ 45060.4 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 44681.8 และ SL ที่ประมาณ 45555.7 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
- Sell/ Short 2 : หากสามารถทะลุแนวรับที่ช่วงราคา 44426.4 – 44756.4 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 44284.0 และ SL ที่ประมาณ 45225.4 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
คำเตือน
บทวิเคราะห์นี้ใช้สำหรับการศึกษาข้อมูลของหุ้นสหรัฐเบื้องต้นเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลของสินทรัพย์และศึกษาความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องอย่างละเอียด ประกอบกับศึกษาแนวโน้มหุ้นและข่าวสหรัฐก่อนตัดสินใจลงทุน
สำหรับใครที่สนใจอ่านรีวิวโบรกเกอร์ : Review Brokers
บทความในเรื่องการลงทุนที่น่าสนใจ : Investing
คลังความรู้จากคุณน้า : Knowledge