ค่า Spread คือ เรื่องพื้นฐานที่ควรใส่ใจ เพราะถือเป็นหนึ่งในต้นทุนที่ส่งผลต่อโอกาสในการทำกำไรและขาดทุนของเทรดเดอร์โดยตรงค่ะ ในบทความนี้ คุณน้าจะทุกคนมารู้จักกับค่า Spread คืออะไร มีหลักการทำงานและวิธีการดูค่าสเปรดอย่างไร? เพื่อให้เทรดเดอร์สามารถวางแผนกลยุทธ์การเทรดได้อย่างชาญฉลาดมากขึ้นค่ะ
*หมายเหตุ : บทความนี้เป็นเพียงบทความให้ความรู้เท่านั้น ไม่ได้เป็นการชักชวนเพื่อลงทุนแต่อย่างใด โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
ค่า Spread คืออะไร?

ค่า Spread (สเปรด) คือ ค่าธรรมเนียมที่เทรดเดอร์ต้องจ่ายให้กับทางโบรกเกอร์เพิ่มเติม โดยเป็นความแตกต่างระหว่างราคา Ask และราคา Bid ของคู่สกุลเงินนั่นเองค่ะ
โดยปกติแล้ว หากเทรดเดอร์ต้องการซื้อสินทรัพย์ (เปิดสถานะ Buy) มักจะได้ในราคาที่สูงกว่าราคาตลาด ณ ปัจจุบัน หรือที่เรียกง่าย ๆ ว่าจะได้ราคา Ask ซึ่งเป็นราคาที่ทางโบรกเกอร์เสนอให้สำหรับการซื้อ ในขณะที่หากเทรดเดอร์ต้องการขายสินทรัพย์ (เปิดสถานะ Sell) มักจะได้ราคาต่ำกว่าตลาด ณ ปัจจุบัน หรือที่เรียกว่าจะได้ราคา Bid ซึ่งเป็นราคาที่ทางโบรกเกอร์เสนอให้สำหรับการขาย เพราะทางเทรดเดอร์ไม่สามารถส่งคำสั่งซื้อขายเข้าสู่ตลาดได้ด้วยตนเอง
💡 ข้อสังเกตสำหรับค่า Spread เพิ่มเติม :
ค่า Spread จะมีการแปรผันตามสภาพคล่องของตลาด และในทุกครั้งที่เราทำการเปิดออเดอร์นั้น ออเดอร์ของเราจะติดลบก่อนเสมอค่ะ เพราะทางโบรกเกอร์จะไม่คิดค่าธรรมเนียมจากการเทรด แต่จะบวกต้นทุนการเทรดเข้าไปกับการซื้อขายของเรา ทำให้การเปิดออเดอร์ทุกครั้ง จะเกิดการติดลบนั่นเองค่ะ
Spread มีกี่ประเภท?
ค่า Spread มีทั้งหมด 2 ประเภทด้วยกัน ได้แก่ 1. สเปรดแบบคงที่ (Fixed spread) และ 2. สเปรดแบบลอยตัว (Variable spread) ซึ่งมีรายละเอียดแตกต่างกัน ดังนี้ค่ะ
1. Spread คงที่ (Fixed spread)
Spread คงที่ (Fixed spread) เป็นค่าสเปรดที่จะกำหนดแบบตายตัว ไม่เปลี่ยนแปลงไปตามสภาพคล่องของตลาดค่ะ โดยโบรกเกอร์แต่ละรายจะกำหนดค่าสเปรดคงที่แตกต่างกันออกไปค่ะ
ข้อดีของ Spread คงที่
- ไม่จำเป็นต้องใช้เงินทุนมากจนเกินไป
- สามารถคำนวณต้นทุนการเทรดได้อย่างแม่นยำมากขึ้น
ข้อเสียของ Spread คงที่
- อาจเกิดปัญหาเรื่อง Requote เมื่อตลาดเกิดความผันผวน ซึ่งอาจจะทำให้เทรดเดอร์ได้ราคาที่แย่กว่าราคาตลาด ณ ปัจจุบัน
- การกำหนดค่าสเปรดคงที่ ไม่เหมาะกับช่วงที่ตลาดมีสภาพคล่องต่ำ เพราะเทรดเดอร์จะต้องเสียต้นทุนในการเทรดสูงขึ้น
- ทางโบรกเกอร์ไม่สามารถกำหนดค่าสเปรดให้เข้ากับสถานการณ์ของตลาด ณ ปัจจุบันได้
- หากตลาดเกิดความผันผวนอย่างรุนแรง ทางโบรกเกอร์จะปิดกั้นระบบการเทรด เพื่อให้เทรดเดอร์กดยอมรับราคาใหม่ ซึ่งจะถูก Requote ด้วยราคาใหม่อีกครั้ง
2. Spread ลอยตัว (Variable spread)
Spread ลอยตัว (Variable spread) เป็นค่าสเปรดที่จะมีการแปรผันตามสภาวะของตลาด ณ เวลานั้น ๆ ซึ่งค่าสเปรดลอยตัวจะปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา เพราะทางโบรกเกอร์ไม่สามารถเข้าไปควบคุมหรือกำหนดค่าสเปรดได้ เนื่องจากจะเป็นการส่งต่อราคาจากผู้ดูแลสภาพคล่องไปยังเทรดเดอร์โดยตรงนั่นเอง
ข้อดีของ Spread ลอยตัว
- ต้นทุนของค่าสเปรดลอยตัวจะต่ำกว่าค่าสเปรดคงที่ เพราะมีการแข่งขันจากโบรกเกอร์หลายราย
- ช่วยลดปัญหาการเกิด Requote
- เป็นราคาจากผู้ให้บริการหลายราย ทำให้ราคามีความน่าเชื่อถือ
- ทำให้เห็นสภาพคล่องของตลาดที่แท้จริง
ข้อเสีย Spread ลอยตัว
- ไม่เหมาะกับเทรดเดอร์ที่ต้องการความแน่นอน เพราะค่าสเปรดปรับเปลี่ยนตลอดเวลา
- ค่าสเปรดกว้าง เมื่อเทรดชนข่าวสารสำคัญ ทำให้ต้นทุนการเทรดเพิ่มสูงขึ้น
- คาดการณ์การคำนวณต้นทุนได้ยาก
หลักการทำงานของค่า Spread เป็นอย่างไร?
จากที่กล่าวไปข้างต้น จะเห็นได้ว่าค่าสเปรดเป็นความแตกต่างระหว่างราคา Ask และราคา Bid ใช่ไหมคะ โดยคุณน้าขอขยายความเพิ่มเติม ก็คือ ปกติแล้ว ตลาด Forex จะมีทั้งเทรดเดอร์ที่ต้องการซื้อและเทรดเดอร์ที่ต้องการขายควบคู่กันเสมอ โดยมีจุดสังเกต ดังนี้ค่ะ
- ราคาที่เทรดเดอร์ต้องการซื้อคู่เงิน มักจะสูงกว่าราคาตลาด ณ ปัจจุบัน เรียกง่าย ๆ ว่า “เทรดเดอร์จะได้ในราคา Ask”
- ราคาที่เทรดเดอร์ต้องการขายคู่เงิน มักจะต่ำกว่าราคาตลาด ณ ปัจจุบัน เรียกง่าย ๆ ว่า “เทรดเดอร์จะได้ในราคา Bid”
สำหรับตัวกลางในการส่งคำสั่งซื้อขายเข้าสู่ตลาด Forex ก็คือ โบรกเกอร์จะคิดค่าดำเนินการจากส่วนต่างของราคาซื้อและราคาขายเหล่านี้ หรือที่เราเรียกว่าค่า Spread ซึ่งมีสูตรคำนวณ ดังนี้ค่ะ
ค่าสเปรดเกิดจาก Ask Price – Bid Price = Spread (หน่วย Pips/Point)
ยกตัวอย่างการคำนวณค่า Spread
คุณน้าขอยกตัวอย่างค่าสเปรดของคู่เงินยอดนิยม EURUSD โดยราคา Bid อยู่ที่ 1.02551 และราคา Ask อยู่ที่ 1.02559 ซึ่งค่าสเปรดของคู่เงิน EURUSD จะมีวิธีการคำนวณ ดังนี้
Ask Price – Bid Price = Spread (หน่วย Pips/Point)
1.02559 – 1.02551 = 0.00008 (0.8 Pips/8 Point)
ดังนั้น ค่าสเปรดของคู่เงินยอดนิยม EURUSD เท่ากับ 0.8 Pips หรือ 8 Point
🔍 ตัวอย่างค่า Spread ของ 5 คู่เงินยอดนิยม
5 คู่เงินยอดนิยม | ค่า Spread |
XAUUSD | 1.4 Pips |
USDJPY | 0.9 Pips |
GBPUSD | 0.9 Pips |
AUDUSD | 0.8 Pips |
USDCHF | 1.2 Pips |
*หมายเหตุ : ตาราง 5 คู่เงินยอดนิยม ค่าสเปรดเป็นข้อมูลจริงจากทางโบรกเกอร์ IUX
การคำนวณต้นทุนของค่า Spread
ค่าสเปรดเป็นตัวแปรสำคัญที่เทรดเดอร์ควรพิจารณา เพราะแต่ละโบรกเกอร์จะมีวิธีการนำเสนอค่าสเปรดที่แตกต่างกัน
ดังนั้น เทรดเดอร์จำเป็นต้องพิจารณาสไตล์การเทรดของตนเอง เพื่อนำมาคำนวณต้นทุนการเทรดในลำดับต่อไป เพราะระยะเวลาการเทรดสั้นเท่าไหร่ ขนาดของค่าสเปรดก็มีความสำคัญมากขึ้นเท่านั้นค่ะ
คุณน้าขอยกตัวอย่างสไตล์การเทรดที่ได้รับผลกระทบจากค่าสเปรดตั้งแต่น้อยไปจนถึงมาก โดยมีรายละเอียด ดังนี้
- Swing Trade : ได้รับผลกระทบน้อย เพราะเป็นกลยุทธ์ที่ใช้ระยะเวลาในการถือออเดอร์ 1 วันหรือ 1 สัปดาห์
- Day Trade : ได้รับผลกระทบปานกลาง เพราะเป็นกลยุทธ์ที่ใช้ระยะเวลาในการถือออเดอร์ภายในวันนั้น ๆ
- Scalping Trade : ได้รับผลกระทบมาก เพราะเป็นกลยุทธ์ที่ใช้ระยะเวลาในการถือออเดอร์แบบนาทีสั้น ๆ ทำให้ใช้ค่าสเปรดสะสมมากขึ้น
วิธีการดูค่า Spread ใน MetaTrader 5
สำหรับหน้าต่างซื้อขายบนแพลตฟอร์ม MetaTrader 5 เทรดเดอร์จะสามารถเปรียบเทียบราคา Bid และราคา Ask ได้บนพารามิเตอร์ ซึ่งราคา Bid จะอยู่ที่หมายเลข 1 และราคา Ask จะอยู่ที่หมายเลข 2 ตามรูปภาพด้านล่างนี้ค่ะ โดยค่าสเปรดจากรูปภาพด้านล่างนี้ จะเท่ากับ 1.13693 – 1.13685 = 0.8 Pips นั่นเอง

📢 และหากคุณต้องการเพิ่มเส้น Bid และ Ask ลงในกราฟเพื่อดูค่าสเปรดสามารถทำได้ ดังต่อไปนี้

- คลิกขวาบนกราฟแล้วเลือก Properties จากนั้นคลิก Tab Show
- ทำเครื่องหมายที่กล่อง Show ask price line และ Show bid price line
- จากนั้นคลิก OK ก็เป็นอันเรียบร้อย
ค่า Spread บอกอะไร?
นอกจากค่าสเปรดจะหมายถึงความแตกต่างระหว่างราคา Ask และ Bid แล้วนั้น ค่าสเปรดยังแสดงให้เห็นถึงสภาพคล่องของตลาด ความผันผวนของสินทรัพย์ และปริมาณการซื้อขายอีกด้วยค่ะ โดยค่าสเปรดจะมีทั้งค่าสเปรดแคบและค่าสเปรดกว้าง ซึ่งมีนัยสำคัญ ดังนี้ค่ะ
1. ค่าสเปรดแคบ แสดงให้เห็นว่า ตลาดมีสภาพคล่องสูง มีความผันผวนต่ำ และคู่เงินมีปริมาณการซื้อขายสูง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นคู่เงินยอดนิยม
2. ค่าสเปรดกว้าง แสดงให้เห็นว่า ตลาดมีสภาพคล่องต่ำ มีความผันผวนสูง และคู่เงินมีปริมาณการซื้อขายน้อย ซื้อขายในช่วงเปิดปิดตลาด หรือซื้อขายในช่วงที่เกิดข่าวสารสำคัญ (อาทิข่าว Non Farm Payroll, การประกาศดอกเบี้ยนโยบาย และเทศกาลสำคัญ เป็นต้น)
ค่า Spread ต่ำดียังไง?
ค่าสเปรดต่ำจะช่วยลดต้นทุนการซื้อขายและช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไรให้สูงขึ้น เพราะค่าสเปรดเป็นต้นทุนที่ทางโบรกเกอร์จะบวกเพิ่มเข้าไปจากการซื้อขาย ซึ่งจะเห็นได้ว่าค่าสเปรดถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการทำกำไรและขาดทุน ดังนั้น การเลือกโบรกเกอร์ Forex สเปรดต่ำจะช่วยลดค่าธรรมเนียมการเทรดและเพิ่มโอกาสในการทำกำไรให้กับเทรดเดอร์ได้มากขึ้นนั่นเอง

⭐ คุณน้าแนะนำโบรกเกอร์คุณสมบัติเด่น!
การเลือกโบรกเกอร์ถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญ สำหรับการเทรด Forex ค่ะ
เพราะโบรกเกอร์จะพัฒนาระบบและเครื่องมือต่าง ๆ ที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้การเทรดของคุณเป็นไปอย่างราบรื่นให้ได้มากที่สุด
สำหรับเทรดเดอร์ที่ยังไม่มั่นใจว่า โบรกเกอร์ Forex แบบไหนดี?
คุณน้าได้รวบรวมการจัดอันดับของโบรกเกอร์ในทุกคุณสมบัติ เช่น สเปรดต่ำ, เทรดทอง หรือโบนัสฟรี

💡 คัมภีร์เริ่มต้น มือใหม่หัดเทรด
มือใหม่หัดเทรดที่ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดี? คุณน้าได้รวบรวมเนื้อหาสำคัญที่ถือเป็นจุดเริ่มต้น สำหรับการเทรด Forex มาไว้ให้แล้วที่นี่!
🔍 ตัวอย่างเนื้อหา มือใหม่หัดเทรดต้องรู้!
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับค่า Spread คืออะไร?
ค่าสเปรด ดูตรงไหน?
ค่าสเปรดสามารถดูได้จากช่องว่างของความแตกต่างระหว่างราคา Ask และราคา Bid ซึ่งเป็นค่าธรรมเนียมที่เทรดเดอร์ต้องจ่ายให้กับทางโบรกเกอร์เพิ่มเติม
ค่าสเปรด คิดยังไง?
ค่าสเปรดจะถูกคำนวณจาก Ask Price – Bid Price
ค่าสเปรดลอยตัวคืออะไร?
ค่าสเปรดลอยตัว คือ ค่าสเปรดที่มีการแปรผันตามสภาวะของตลาด ณ เวลานั้น ๆ ซึ่งจะมีการปรับเปลี่ยนตลอดเวลา โดยค่าสเปรดลอยตัวถือเป็นค่าสเปรดที่น่าเชื่อถือ เพราะมาจากโบรกเกอร์รายหลายด้วยกัน
สรุปค่า Spread คืออะไร สำคัญอย่างไร?
ทั้งหมดนี้ก็คือ ค่า Spread (สเปรด) เป็นค่าธรรมเนียมที่ทางโบรกเกอร์จะเรียกเก็บทุกครั้ง เมื่อเทรดเดอร์เปิดออเดอร์ค่ะ ซึ่งค่าสเปรดถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการเพิ่มโอกาสในการทำกำไรและการขาดทุน ดังนั้น หากเราทำความเข้าใจกับค่าสเปรดอย่างละเอียดก็จะช่วยวางแผนการเทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการเลือกโบรกเกอร์สเปรดต่ำที่เหมาะกับสไตล์การเทรดของเราอีกด้วยค่ะ
สำหรับใครที่สนใจอ่านรีวิวโบรกเกอร์ : Review Brokers
บทความในเรื่องการลงทุนที่น่าสนใจ : Investing
คลังความรู้จากคุณน้า : Knowledge