ในโลกของการวิเคราะห์เศรษฐกิจและการลงทุน ตัวเลขเพียงไม่กี่ตัวสามารถสะท้อนภาพรวมของประเทศได้อย่างชัดเจน ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ Unemployment Claims หรือการขอรับสิทธิประโยชน์การว่างงานของประชาชนในแต่ละสัปดาห์ แม้จะดูเหมือนเป็นข้อมูลย่อย แต่ความจริงแล้วตัวเลขนี้สามารถชี้แนวโน้มเศรษฐกิจ การจ้างงาน หรือแม้แต่การเคลื่อนไหวของธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้อย่างแม่นยำ ดังนั้น ในบทความนี้คุณน้าจะพาทุกคนไปทำความรู้จักว่า Unemployment Claims คืออะไร ทำไมถึงสำคัญ และเชื่อมโยงกับดัชนีชี้วัดอื่นอย่าง NFP, GDP และ CPI อย่างไร? ถ้าพร้อมแล้วไปอ่านกันค่ะ
Unemployment Claims คืออะไร?
Unemployment Claims คือ “คำร้องขอรับสิทธิประโยชน์กรณีว่างงาน” หรือ “การยื่นขอเงินชดเชยกรณีตกงาน” ซึ่งมักหมายถึงการที่บุคคลที่ถูกเลิกจ้างไปยื่นคำร้องต่อหน่วยงานของรัฐ (เช่น สำนักงานแรงงาน) เพื่อขอรับเงินช่วยเหลือรายสัปดาห์ระหว่างที่ยังหางานใหม่ไม่ได้ค่ะ โดยเงินที่ได้รับนั้นจะมาจากกองทุนที่รัฐรวบรวมมาจากนายจ้างในรูปแบบภาษีประกันการว่างงาน (Unemployment Insurance) ที่จะช่วยเหลือผู้ที่ว่างงานนานถึง 26 สัปดาห์สำหรับสหรัฐฯ ค่ะ
สำหรับการยื่นขอเงินชดเชยกรณีตกงานจะแบ่งออกเป็น 2 กรณี ได้แก่

รายงาน Unemployment Claims ออกเมื่อไหร่?
ตัวเลข Unemployment Claims จะประกาศโดยกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ (U.S. Department of Labor) ทุกวันพฤหัสบดีของสัปดาห์
เวลาไทย
- 19.30 น. (ช่วงไม่ใช่เวลาออมแสง)
- 20.30 น. (ช่วง Daylight Saving Time – DST)
Unemployment Claims ดูยังไง?
หากคุณเป็นนักลงทุนหรือผู้ที่สนใจสภาวะเศรษฐกิจ การรู้วิธีติดตามตัวเลข Unemployment Claims เป็นสิ่งสำคัญ เพราะตัวเลขนี้มีการรายงานทุกสัปดาห์ และมักส่งผลโดยตรงต่อตลาดหุ้น อัตราดอกเบี้ย ค่าเงิน และทองคำ ในบทความนี้คุณน้าจะพาไปดูว่า จะติดตามตัวเลขนี้ได้จากที่ไหน? และควรอ่านตัวเลขอย่างไรให้เข้าใจง่ายและทันเกมตลาดค่ะ

1. วิธีดู Unemployment Claims บนเว็บไซต์ทางการของรัฐบาลสหรัฐฯ
- เข้าสู่เว็บไซต์ https://www.dol.gov
- คลิกที่เมนู “News” ตามด้วย “Economic Data from the Department of Labor”
- เลื่อนมาที่หัวข้อ Employment and Training Administration
- ดาวน์โหลดไฟล์ PDF ที่ชื่อ “Unemployment Insurance Weekly Claims Report”
ในส่วนของเว็บไซต์จะมีการบอกตัวเลขของ Initial Claims และ Continuing Claims รวมไปถึงข้อมูลแบบปรับฤดูกาลและแบบไม่ปรับฤดูกาล หรือวิเคราะห์แนวโน้มของตลาดโดยผู้เชี่ยวชาญค่ะ
เหมาะกับใคร?
- นักลงทุนสายวิเคราะห์เชิงลึก
- นักเศรษฐศาสตร์
- ผู้ที่ใช้ข้อมูลในเชิงนโยบาย
2. วิธีดู Unemployment Claims บนเว็บไซต์ข่าวเศรษฐกิจชั้นนำ
เว็บไซต์ข่าวที่คุณน้าแนะนำในการติดตามตัวเลข Unemployment Claims จะมี 3 เว็บไซต์ดังนี้ค่ะ
คำศัพท์ | ความหมาย |
Actual | ตัวเลขจริงที่เพิ่งประกาศ |
Forecast | ตัวเลขที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ |
Previous | ตัวเลขของสัปดาห์ก่อนหน้า |
ถ้าตัวเลข Actual สูงกว่า Forecast อาจส่งผลลบต่อตลาดหุ้น และส่งผลถึงอัตราเงินเฟ้อได้ค่ะ
ถ้าตัวเลข Actual ต่ำกว่า Forecast อาจสะท้อนสภาวะเศรษฐกิจที่ยังแข็งแกร่งอยู่ ทำให้นักลงทุนมีความกล้าถือหุ้นมากขึ้นค่ะ
ทริคจากคุณน้าพาเทรด ถ้าอยากดูทั้ง Initial Claims และ Continuing Claims แบบสรุปรวมในหน้าเดียว อ่านง่ายสุด ๆ คุณน้าแนะนำ Trading Economics ค่ะ เพราะจะมีการสรุปตัวเลขสำคัญทั้งหมดที่ดูง่าย และข้อมูลค่อนข้างละเอียดค่ะ
Unemployment Claims กับเศรษฐกิจและตลาดการเงิน
Unemployment Claims ส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินอย่างชัดเจน เนื่องจากตัวเลขนี้เป็นหนึ่งในตัวชี้วัดเศรษฐกิจที่นักลงทุนและผู้กำหนดนโยบายใช้ในการประเมินแนวโน้มของเศรษฐกิจโดยรวม
- หากจำนวนผู้ยื่นขอว่างงานสูงกว่าคาดการณ์ ตลาดมักตีความว่าเศรษฐกิจเริ่มอ่อนแอ ซึ่งอาจทำให้ราคาหุ้นร่วงลง ค่าเงินอ่อนค่าลง และราคาสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น ทองคำหรือพันธบัตรรัฐบาล มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น
- หากจำนวนผู้ยื่นขอว่างงานต่ำกว่าคาดการณ์ แสดงถึงตลาดแรงงานที่แข็งแกร่ง ก็อาจหนุนให้ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้น และธนาคารกลางมีแนวโน้มคงที่หรือลดการกระตุ้นเศรษฐกิจ
ดังนั้น Unemployment Claims จึงมีผลต่อการเคลื่อนไหวของดัชนีหุ้น, ตลาดตราสารหนี้, ค่าเงิน และการคาดการณ์นโยบายทางการเงินโดยตรง
ตลาดการเงิน | ผลเมื่อ Unemployment Claims สูงกว่าคาด | ผลเมื่อ Unemployment Claims ต่ำกว่าคาด |
หุ้น | ดัชนีหุ้นปรับตัวลง โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค และหุ้นอุตสาหกรรม | ดัชนีหุ้นปรับตัวขึ้น หุ้นเติบโตและหุ้นเทคโนโลยีมีความแข็งแกร่ง |
ค่าเงิน (USD) | ดอลลาร์อ่อนค่า นักลงทุนหันไปลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัย | ดอลลาร์แข็งค่า เชื่อว่าเฟดจะคงนโยบายตึงตัว |
ตราสารหนี้ | ราคาพันธบัตรเพิ่มขึ้น (Yield ลดลง) | ราคาพันธบัตรลดลง (Yield เพิ่มขึ้น) |
ทองคำ | ราคาทองคำเพิ่มขึ้น จากแรงซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย | ราคาทองคำลดลง นักลงทุนกลับเข้าสู่สินทรัพย์เสี่ยง |
Unemployment Claims ใช้ประเมินเศรษฐกิจได้อย่างไร?
ตัวเลข Unemployment Claims หรือจำนวนผู้ยื่นขอรับสิทธิประโยชน์การว่างงาน ถือเป็นหนึ่งในดัชนีเศรษฐกิจที่สำคัญอย่างมาก เพราะสะท้อนภาพรวมของตลาดแรงงานแบบเรียลไทม์ หากตัวเลข Initial Claims เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง อาจบ่งชี้ถึงการเลิกจ้างที่มากขึ้น และเป็นสัญญาณว่าเศรษฐกิจกำลังชะลอตัว ขณะที่ตัวเลข Continued Claims ที่ยังอยู่ในระดับสูง แสดงให้เห็นว่าผู้คนยังไม่สามารถหางานใหม่ได้ ซึ่งอาจส่งผลให้กำลังซื้อของครัวเรือนลดลง และเป็นแรงกดดันต่อการเติบโตของ GDP
1. Initial Claims (การยื่นขอใหม่)
- เพิ่มขึ้น = มีการเลิกจ้างมากขึ้น → เศรษฐกิจอาจชะลอตัว
- ลดลง = ตลาดแรงงานแข็งแกร่ง → เศรษฐกิจดี
2. Continued Claims (การยื่นขอต่อเนื่อง)
- สูง = คนหางานใหม่ยาก → การใช้จ่ายลดลง → GDP ชะลอ → เศรษฐกิจชะลอตัวลง
- ต่ำ = คนหางานได้ง่าย → การใช้จ่ายเพิ่มขึ้น → เศรษฐกิจขยายตัว → กระตุ้นเศรษฐกิจ
บทบาทของ Unemployment Claims มีผลต่อการตัดสินใจของธนาคารกลาง
1. เมื่อการว่างงานเพิ่มขึ้น
หากตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงาน (Unemployment Claims) เพิ่มสูงขึ้น แสดงถึงสภาวะตลาดแรงงานที่อ่อนแอ ธนาคารกลางสหรัฐ (FED) อาจต้องพิจารณาผ่อนคลายนโยบายการเงิน เช่น การลดอัตราดอกเบี้ย เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและเพิ่มการจ้างงาน ทั้งนี้ เมื่อคนตกงานมากขึ้น กำลังซื้อของครัวเรือนจะลดลง การใช้จ่ายในระบบเศรษฐกิจก็จะชะลอตัว ซึ่งส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อลดลงตามไปด้วย
2. เมื่อการว่างงานลดลง
ในทางกลับกัน หากตัวเลขการว่างงานลดลงอย่างต่อเนื่อง บ่งชี้ว่าตลาดแรงงานแข็งแกร่ง เฟดอาจพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อควบคุมแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ เนื่องจากเมื่อมีการจ้างงานมากขึ้น รายได้ของประชาชนก็จะเพิ่มขึ้น การใช้จ่ายในระบบเศรษฐกิจก็จะขยายตัว ซึ่งอาจเร่งให้ราคาสินค้าและบริการปรับตัวสูงขึ้นได้
สรุปคือ ตัวเลข Unemployment Claims เป็นเครื่องมือสำคัญที่ธนาคารกลางและนักวิเคราะห์ใช้ในการประเมินทิศทางเศรษฐกิจ และมีอิทธิพลโดยตรงต่อการตัดสินใจด้านนโยบายการเงินค่ะ
กลยุทธ์การลงทุนโดยใช้ Unemployment Claims
ตัวเลข Unemployment Claims หรือจำนวนผู้ยื่นขอรับสิทธิประโยชน์จากการว่างงาน เป็นข้อมูลรายสัปดาห์ที่มีความละเอียดอ่อนและรวดเร็ว ช่วยให้นักลงทุนสามารถติดตามแนวโน้มของตลาดแรงงานได้แบบเรียลไทม์ ถือเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดสำคัญที่ช่วย “อ่านใจธนาคารกลาง” และใช้ประกอบการวางกลยุทธ์ลงทุนในช่วงเศรษฐกิจผันผวนค่ะ
แนวโน้มของ Claims | สัญญาณทางเศรษฐกิจ | กลยุทธ์การลงทุนที่ควรพิจารณา |
ลดลงต่อเนื่อง | ตลาดแรงงานฟื้นตัวดี ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเริ่มกลับมา | เน้นลงทุนในหุ้นกลุ่ม Cyclical เช่น กลุ่มการเงิน, อุตสาหกรรม หรือ Consumer Discretionary |
เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ | เสี่ยงเข้าสู่ภาวะถดถอย ตลาดแรงงานเริ่มเปราะบาง | ควรหันไปถือครองสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น ทองคำ และพันธบัตรรัฐบาลระยะยาว |
แกว่งตัวไม่แน่นอน | ตลาดแรงงานยังไม่เสถียร กำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน | ลงทุนแบบกระจายความเสี่ยง เช่น DCA ในกองทุนผสม หรือ ETF แบบ Balanced |
การใช้ Unemployment Claims ร่วมกับตัวชี้วัดอื่น ๆ
การใช้ Unemployment Claims เพียงตัวเดียวอาจไม่สามารถสะท้อนภาพรวมทั้งหมดของเศรษฐกิจได้ค่ะ ดังนั้น คุณน้าจึงขอแนะนำให้ทุกคนดู Unemployment Claims ร่วมกับตัวชี้วัดอื่น ๆ ค่ะ เพราะจะช่วยให้การวิเคราะห์มีความครอบคลุมและแม่นยำมากขึ้น ซึ่งตัวชี้วัดที่นิยมใช้ร่วมกันก็มีดังนี้ค่ะ
1. Non-Farm Payrolls (NFP)

Non-Farm Payrolls (NFP) คือข้อมูลเกี่ยวกับจำนวนตำแหน่งงานที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงในภาคธุรกิจทั้งหมด ยกเว้นภาคเกษตรกรรม การใช้ Unemployment Claims ร่วมกับ NFP จะช่วยให้เห็นภาพรวมที่ชัดเจนของตลาดแรงงาน หาก Initial Claims และ NFP เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว อาจบ่งชี้ถึงการปรับเปลี่ยนในโครงสร้างตลาดแรงงาน แต่หากทั้งสองตัวเลขลดลง อาจสะท้อนถึงภาวะเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งได้ค่ะ
2. GDP (Gross Domestic Product)

GDP คือมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ ซึ่งแสดงถึงขนาดของเศรษฐกิจและการเติบโตโดยรวม การใช้ Unemployment Claims ร่วมกับ GDP จะช่วยให้นักเศรษฐศาสตร์ประเมินความสัมพันธ์ระหว่างตลาดแรงงานและการเติบโตของเศรษฐกิจได้ หาก Initial Claims เพิ่มขึ้นในขณะที่ GDP เติบโตอย่างช้า ๆ อาจแสดงถึงการเติบโตที่ไม่มั่นคง และอาจมีผลกระทบต่อการว่างงานในอนาคตค่ะ
3. CPI (Consumer Price Index)

CPI หรือดัชนีราคาผู้บริโภค วัดการเปลี่ยนแปลงราคาสินค้าและบริการที่ผู้บริโภคซื้อ การเชื่อมโยง Unemployment Claims กับ CPI สามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับการปรับตัวของตลาดแรงงานต่ออัตราเงินเฟ้อได้ หาก Initial Claims ลดลง แต่ CPI เพิ่มขึ้น อาจแสดงถึงภาวะเงินเฟ้อที่เกิดจากอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นในเศรษฐกิจ และหาก Unemployment Claims เพิ่มขึ้น แต่ CPI ลดลง อาจบ่งชี้ถึงการชะลอตัวของการบริโภคได้ค่ะ
4. Labor Force Participation Rate

Labor Force Participation Rate (LFPR) วัดสัดส่วนของประชากรที่มีงานทำหรือกำลังมองหางาน การใช้ Unemployment Claims ร่วมกับ LFPR จะช่วยให้เห็นภาพรวมของตลาดแรงงานได้ชัดเจนยิ่งขึ้น หาก Unemployment Claims เพิ่มขึ้นในขณะที่ LFPR ลดลง อาจบ่งชี้ถึงการที่คนงานบางส่วนออกจากตลาดแรงงาน ซึ่งมักเป็นสัญญาณของเศรษฐกิจที่ชะลอตัวค่ะ
5. Retail Sales

Retail Sales คือข้อมูลเกี่ยวกับยอดขายสินค้าในร้านค้าปลีก ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้สำคัญของการใช้จ่ายของผู้บริโภค การเชื่อมโยง Unemployment Claims กับ Retail Sales สามารถช่วยประเมินผลกระทบของตลาดแรงงานต่อการบริโภคได้ หาก Initial Claims เพิ่มขึ้นแต่ Retail Sales ชะลอตัว อาจบ่งชี้ถึงการลดลงของความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและการชะลอตัวของเศรษฐกิจได้ค่ะ
สรุป Unemployment Claims
Unemployment Claims คือ ตัวชี้วัดเศรษฐกิจที่บ่งชี้ถึงจำนวนผู้ขอรับสิทธิประโยชน์การว่างงาน ซึ่งมีผลโดยตรงต่อการวิเคราะห์ทิศทางเศรษฐกิจ ทั้งในแง่ของการจ้างงาน (NFP), ผลิตภาพโดยรวม (GDP) และเงินเฟ้อ (CPI) หากตัวเลขเหล่านี้เพิ่มสูงขึ้น อาจสะท้อนถึงภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ทำให้นักลงทุนและธนาคารกลางอย่าง FED ใช้ประกอบการตัดสินใจเรื่องดอกเบี้ยและนโยบายการเงิน โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ตลาดเปราะบาง
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Unemployment Claims
1. Unemployment Claims มีผลกับทองอย่างไร?
Unemployment Claims ที่สูงกว่าคาดการณ์บ่งชี้ถึงเศรษฐกิจที่อ่อนแอลง ทำให้นักลงทุนมองหาสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำ จึงมักหนุนราคาทองให้ปรับตัวขึ้น
2. Unemployment Rate ดูยังไง?
Unemployment Rate คือ อัตราการว่างงาน วัดโดยนำจำนวนผู้ว่างงานหารด้วยจำนวนแรงงานทั้งหมด แล้วคูณ 100 แสดงผลเป็นเปอร์เซ็นต์ ยิ่งตัวเลขสูง ยิ่งสะท้อนปัญหาเศรษฐกิจ
3. Unemployment Claims วิ่งกี่จุด?
ตัวเลข Unemployment Claims รายสัปดาห์มักเปลี่ยนแปลงในระดับหลักหมื่นถึงแสนราย เช่นจาก 210,000 เป็น 225,000 จุดเปลี่ยนเพียง 10,000 รายก็สามารถส่งผลต่อตลาดการเงินได้
4. Unemployment Claims มีผลกับอัตราเงินเฟ้ออย่างไร?
Unemployment Claims ที่เพิ่มขึ้น บ่งชี้ว่าตลาดแรงงานอ่อนแอลง คนตกงานมากขึ้น ส่งผลให้การใช้จ่ายของผู้บริโภคลดลง ซึ่งจะช่วยลดแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ ในทางตรงกันข้าม หากตัวเลขนี้ลดลงอย่างต่อเนื่อง มักหมายถึงตลาดแรงงานแข็งแกร่งขึ้น คนมีงานทำมากขึ้น มีรายได้มากขึ้น การใช้จ่ายในระบบเศรษฐกิจก็จะเพิ่มขึ้นตาม อาจทำให้เงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้นได้ค่ะ
สำหรับใครที่สนใจอ่านรีวิวโบรกเกอร์ : Review Brokers
บทความในเรื่องการลงทุนที่น่าสนใจ : Investing
คลังความรู้จากคุณน้า : Knowledge