หลาย ๆ คนอาจจะเคยได้ยินคำว่าตลาดหมีและตลาดกระทิงกันมาบ้าง ซึ่งคุณน้าขอบอกเลยนะคะว่า ตลาดหมี (Bear Market) และตลาดกระทิง (Bull Market) มีความสำคัญต่อตลาด Forex เป็นอย่างมาก เพราะส่งผลกระทบโดยตรงต่อแนวโน้มของราคา ดังนั้น ในบทความนี้คุณน้าจะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับตลาดหมี (Bear Market) VS ตลาดกระทิง (Bull Market) คืออะไร? ไปพร้อม ๆ กับเทคนิคในการเทรด Forex เมื่อคุณกำลังเผชิญกับสภาวะตลาดหมี (Bear Markets) หรือตลาดกระทิง (Bull Market) เพื่อช่วยให้คุณสามารถเข้าใจสภาวะตลาดได้อย่างชัดเจน และที่สำคัญก็คือ เพื่อจับจังหวะในการซื้อขายให้แม่นยำมากยิ่งขึ้น ถ้าพร้อมแล้วไปหาคำตอบกันค่ะ!
*หมายเหตุ : บทความนี้เป็นเพียงบทความให้ความรู้เท่านั้น ไม่ได้เป็นการชักชวนเพื่อลงทุนแต่อย่างใด โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
ที่มาของคำว่า หมีและกระทิง
ที่มาของคำว่าตลาดหมีและตลาดกระทิงนั้น มาจากหลายทฤษฎีด้วยกันค่ะ โดยมีทฤษฎีหนึ่งกล่าวไว้ว่า เป็นการเปรียบเทียบราคาของสินทรัพย์กับพฤติกรรมของสัตว์ โดยตลาดหมีก็คือ การเปรียบเทียบพฤติกรรมของหมี เมื่อพวกหมีกำลังเผชิญหน้ากับเหยื่อ พวกหมีจะมีพฤติกรรมตะปบกรงเล็บลง นั่นก็เหมือนกับการเทขายสินทรัพย์ จนทำให้ราคาของสินทรัพย์ร่วงลงมาอย่างต่อเนื่องค่ะ ในขณะที่ตลาดกระทิงก็คือ การเปรียบเทียบพฤติกรรมของกระทิง โดยกระทิงจะต่อสู้กับเหยื่อด้วยการขวิดเขาขึ้น ซึ่งก็เหมือนกับราคาสินทรัพย์มีการพุ่งทะยานขึ้นนั่นเองค่ะ
ตลาดหมี (Bear Market) คืออะไร?
ตลาดหมี (Bear Market) คือ ภาวะที่สินทรัพย์ทางการเงินมีการปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเป็นภาวะที่นักลงทุนเกิดความรู้สึกกลัว, ไม่มั่นใจ และมีความเชื่อมั่นต่ำ ทำให้ปริมาณการซื้อขายในตลาดลดลง ซึ่งตลาดหมีถือเป็นตลาดที่มีการคาดการณ์ได้ค่อนข้างยากค่ะ เพราะนักลงทุนไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่า ราคาสินทรัพย์ต่ำสุดจะอยู่จุดที่เท่าไหร่ อีกทั้งโดยปกติแล้ว การฟื้นตัวของตลาดจากจุดต่ำสุดไปสู่สภาวะปกตินั้น มักใช้เวลาค่อนข้างนานและจำเป็นต้องอาศัยปัจจัยภายนอกเข้ามาเป็นแรงหนุนค่อนข้างมากค่ะ
ปัจจัยที่บ่งชี้ว่าตลาดอยู่ในช่วงตลาดหมี มีอะไรบ้าง?
สำหรับปัจจัยที่บ่งชี้ว่าตลาดกำลังอยู่ในช่วงตลาดหมีมีทั้งหมด 5 ปัจจัยด้วยกัน โดยมีรายละเอียด ดังนี้
1. ราคาสินทรัพย์ปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
ราคาสินทรัพย์มีการปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ยกตัวอย่างเช่น ตลาดหุ้นมีการปรับตัวลดลง 20% จากจุดสูงสุดก่อนหน้า ทำให้ตลาดกำลังเข้าสู่แนวโน้มขาลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลกระทบให้นักลงทุนเกิดความกังวลต่อความไม่แน่นอนของราคาสินทรัพย์นั้น ๆ ทำให้เกิดการเทขายสินทรัพย์เป็นจำนวนมาก ซึ่งส่งผลกระทบให้ตลาดเข้าสู่ช่วงตลาดหมีนั่นเองค่ะ
2. ปริมาณการซื้อขายลดลง
เมื่อราคาสินทรัพย์มีการปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ก็ย่อมส่งผลให้นักลงทุนเกิดความระมัดระวังเกี่ยวกับกิจกรรมการซื้อขายมากขึ้น ซึ่งนักลงทุนหลายคนจะหลีกเลี่ยงการลงทุนที่ก่อให้เกิดการขาดทุนเพิ่มขึ้น หรือไม่นักลงทุนหลายคนอาจจะหยุดกิจกรรมซื้อขายไปชั่วคราว เพื่อรอดูท่าทีของตลาดต่อไป ทำให้ปริมาณการซื้อขายลดลงตามไปด้วยค่ะ
3. สภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ
สภาวะเศรษฐกิจตกต่ำมักจะมาพร้อมกับการชะลอตัวของการจับจ่ายใช้สอย ทำให้บริษัทในภาคเอกชนมีรายได้และกำไรลดลง จนนำไปสู่การเลิกจ้างงานที่เพิ่มมากขึ้น เมื่อสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำมักจะส่งผลกระทบให้ตลาดทางการเงินเข้าสู่แนวโน้มขาลง
4. ข่าวสารที่เกี่ยวกับสถานการณ์ของโลก
ข่าวสารที่เกี่ยวกับสถานการณ์โลกมักจะส่งผลกระทบให้ตลาดเกิดความผันผวนอย่างรุนแรงค่ะ โดยเฉพาะกับข่าวโรคระบาด, สงครามระหว่างประเทศ หรือสถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศมหาอำนาจ ซึ่งข่าวสารเหล่านี้ล้วนเป็นผลกระทบเชิงลบที่ส่งผลกระทบให้ตลาดกำลังเข้าสู่สภาวะตลาดหมี (Bear Market)
5. รูปแบบการลงทุนในขณะนั้น
รูปแบบการลงทุนในขณะนั้น ก็ถือเป็นปัจจัยที่ช่วยสังเกตได้ว่าตลาดกำลังเข้าสู่ช่วงตลาดหมีได้เช่นกันค่ะ เพราะนักลงทุนมักจะเปลี่ยนรูปแบบการลงทุนด้วยการเน้นลงทุนไปที่สินทรัพย์ที่มีความปลอดภัย ยกตัวอย่างเช่น พันธบัตร, ทองคำ หรือหุ้นที่จ่ายปันผล เป็นต้น ในขณะที่เทรดเดอร์ Forex จะนิยมขายชอร์ต (Short Selling) เพื่อเพิ่มโอกาสในการทำกำไรในแนวโน้มขาลงมากขึ้นค่ะ
กราฟตลาดหมีเป็นอย่างไร?

ลักษณะสำคัญ
- แนวโน้มของราคาจะมีการปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง (Bearish Trend)
- เส้น Trend Line มีความชันต่ำลง 45 องศา
- จุดสูงสุดใหม่ (New High) ต่ำกว่าจุดสูงสุดก่อนหน้า
- จุดต่ำสุดใหม่ (New Low) ต่ำกว่าจุดต่ำสุดก่อนหน้า
ตลาดกระทิง (Bull Market) คืออะไร?
ตลาดกระทิง (Bull Market หรือ Bull Run) คือ ภาวะที่สินทรัพย์ทางการเงินมีการปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเกิดจากการที่นักลงทุนเริ่มมีความเชื่อมั่นสูง ทำให้ปริมาณการซื้อขายในตลาดเพิ่มขึ้นตามไปด้วยค่ะ ถึงแม้ว่าตลาดกระทิงจะเป็นตลาดที่อยู่ในแนวโน้มขาขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า ตลาดจะไม่มีการปรับตัวขึ้นลงนะคะ เพราะตามธรรมชาติของตลาดกระทิงจะมีการปรับฐานราคาใหม่อยู่เสมอ และหากตลาดมีการปรับฐานลดลง ก็ไม่ได้การันตีว่าจะถึงจุดสิ้นสุดของตลาดกระทิง (Bull Market) เสมอไปค่ะ เพราะอาจจะหมายความว่า ตลาดกำลังย่อตัวลงเพื่อปรับฐานใหม่ ซึ่งมักจะสูงกว่าการปรับฐานรอบก่อนหน้า (New High และ New Low) ดังนั้น นักลงทุนหรือเทรดเดอร์จำเป็นต้องพิจารณาสัญญาณหรือปัจจัยอื่น ๆ รอบนอก เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาไปด้วยค่ะ
ปัจจัยที่บ่งชี้ว่าตลาดอยู่ในช่วงตลาดกระทิง มีอะไรบ้าง?
ปัจจัยที่บ่งชี้ว่าตลาดอยู่ในช่วงตลาดกระทิง มีทั้งหมด 5 ปัจจัย โดยมีรายละเอียด ดังนี้
1. ราคาสินทรัพย์ปรับตัวเพิ่มขึ้น
ราคาสินทรัพย์มีการปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ตลาดอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น ซึ่งส่งผลให้นักลงทุนหรือเทรดเดอร์เริ่มมีความเชื่อมั่นสูงขึ้น ทำให้สามารถแบกรับความเสี่ยงในการลงทุนได้มากขึ้น เพราะเชื่อมั่นว่าจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีในอนาคตได้นั่นเองค่ะ
2. ปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้น
แน่นอนว่าหากราคาสินทรัพย์ปรับตัวขึ้น ก็จะมีผู้เล่นเข้ามาร่วมกิจกรรมในการซื้อขายอย่างคึกคัก ซึ่งจะทำให้ปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้นตามไปด้วย เพราะนักลงทุนจะอาศัยโอกาสนี้เข้ามาหาโอกาสในการซื้อขาย เมื่อตลาดอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นให้ได้มากที่สุด
3. สภาวะเศรษฐกิจเติบโต
ตลาดกระทิง (Bull Market) จะสะท้อนให้เห็นถึงสภาวะเศรษฐกิจเติบโต โดยวัดจากการจับจ่ายใช้สอยที่เพิ่มขึ้น, ตัวเลข GDP สูง, บริษัทในภาคเอกชนมีรายได้และผลกำไรมากยิ่งขึ้น ซึ่งนำไปสู่การจ้างงานที่เพิ่มขึ้นตามไปด้วยค่ะ
4. ข่าวสารที่เกี่ยวกับสถานการณ์ของโลก
ข่าวสารที่เกี่ยวกับสถานการณ์ของโลก โดยเฉพาะกับข่าวสารเชิงบวกของประเทศต่าง ๆ ทั่วทุกโลกมักจะส่งผลกระทบให้ตลาดเข้าสู่ตลาดกระทิงค่ะ ไม่ว่าจะเป็นการปรับนโยบายของรัฐ, การเปิดตัวนวัตกรรมใหม่ ๆ หรือแม้แต่ความร่วมมือจากหลายประเทศทั่วโลกในด้านการเมืองและเศรษฐกิจ เป็นต้น
5. รูปแบบการลงทุนในขณะนั้น
สำหรับตลาดกระทิงรูปแบบการลงทุนจะเน้นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงและมีโอกาสเติบโตในระยะยาวค่ะ ไม่ว่าจะเป็นหุ้นเติบโต (Growth Rate), Crypto หรือแม้แต่ตลาด Forex ที่เทรดเดอร์มักจะซื้อและถือไว้ (Buy and Hold) เพื่อสร้างผลตอบแทนในระยะยาวนั่นเอง
กราฟตลาดกระทิงเป็นอย่างไร?

ลักษณะสำคัญ
- แนวโน้มของราคาจะมีการปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง (Bullish Trend)
- เส้น Trend Line มีความชันเพิ่มขึ้น 45 องศา
- จุดสูงสุดใหม่ (New High) สูงกว่าจุดสูงสุดก่อนหน้า
- จุดต่ำสุดใหม่ (New Low) สูงกว่าจุดต่ำสุดก่อนหน้า
วิธีการสังเกตว่าอยู่ในตลาดหมีหรือตลาดกระทิง?
สำหรับเทรดเดอร์ที่ยังสับสนว่า แล้วคุณจะรู้ได้อย่างไรว่าตลาดกำลังอยู่ในตลาดหมีหรือตลาดกระทิง? คุณน้ามีวิธีการสังเกตง่าย ๆ โดยมีรายละเอียด ดังต่อไปนี้ค่ะ
Sentiment ของตลาด
Sentiment ของตลาด หรือที่เรียกว่าความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อตลาดค่ะ ซึ่งมักจะส่งผลโดยตรงต่อทิศทางของราคาสินทรัพย์นั้น ๆ โดยคุณสามารถวิเคราะห์และคาดการณ์แนวโน้มของราคาสินทรัพย์ได้นั่นเอง เพราะหากนักลงทุนเริ่มไม่มีความเชื่อมั่นต่อสินทรัพย์นั้น ๆ จะเกิดการเทขายสินทรัพย์เป็นจำนวนมากและหันไปสนใจสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยแทน ทำให้กิจกรรมการซื้อขายลดลง ซึ่งจะส่งผลให้ราคาสินทรัพย์มีการปรับตัวลดลง
ในขณะที่หากนักลงทุนมีความเชื่อมั่นต่อสินทรัพย์นั้น ๆ จะเกิดการเข้าซื้อสินทรัพย์เป็นจำนวนมากและเริ่มมีกิจกรรมการซื้อขายที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งส่งผลให้ราคาสินทรัพย์มีการปรับตัวขึ้น
ข้อสังเกตเกี่ยวกับ Sentiment ของตลาด :
ในหลาย ๆ ครั้ง Sentiment ของตลาดไม่ได้การันตีทิศทางของตลาดเสมอไป เนื่องจากความเชื่อมั่นของนักลงทุนอาจจะมีทั้งเชื่อมั่นสูงและไม่เชื่อมั่นเลย ทำให้แนวโน้มของตลาดไม่ชัดเจน ดังนั้น นักลงทุนจำเป็นต้องติดตามข่าวสารสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อตลาดและศึกษาเครื่องมือทางเทคนิคเข้ามาช่วยในการวิเคราะห์ เพื่อให้คุณสามารถคาดการณ์ทิศทางของตลาดได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้นค่ะ
สังเกตแนวโน้ม Trend Line
และอีกหนึ่งวิธีการสังเกตที่คุณสามารถทำได้ด้วยตนเองก็คือ การวิเคราะห์ Trend Line จริง ๆ ในตลาด ซึ่งนำมาเปรียบเทียบไปกับ Indicator เพื่อคาดการณ์ทิศทางของตลาดค่ะ และหากราคาสินทรัพย์ปรับตัวสูงขึ้นเป็นจุดสูงสุดในช่วงเวลานั้น ๆ แต่เกิดดีดตัวกลับลงไปต่ำกว่าจุดสูงสุดก่อนหน้านั้น สามารถคาดการณ์ได้ว่าราคาสินทรัพย์จะกลับตัวเป็นแนวโน้มขาลง หรือที่เรียกง่าย ๆ ว่า ตลาดหมี (Bear Market)
ในขณะที่หากราคาสินทรัพย์ปรับตัวต่ำลงเป็นจุดต่ำสุดในช่วงเวลานั้น แต่เกิดการดีดตัวกลับขึ้นไปเหนือจุดต่ำสุดก่อนหน้านั้น สามารถคาดการณ์ได้ว่าราคาสินทรัพย์จะกลับตัวเป็นแนวโน้มขาขึ้น หรือที่เรียกว่า ตลาดกระทิง (Bull Market)
กลยุทธ์การเทรด Forex ในตลาดหมีและตลาดกระทิง
จากที่กล่าวไปข้างต้น จะเห็นได้ว่าตลาดหมี (Bear Market) และตลาดกระทิง (Bull Market) มีลักษณะสำคัญและปัจจัยที่ส่งผลกระทบแตกต่างกันค่ะ ดังนั้น คุณน้าขอแนะนำกลยุทธ์การเทรดในตลาดหมีและตลาดกระทิง ซึ่งจะเน้นกลยุทธ์ในตลาด Forex เนื่องจากตลาด Forex สามารถเพิ่มโอกาสในการทำกำไรได้ทั้งตลาดหมีและตลาดกระทิง โดยมีรายละเอียด ดังนี้ค่ะ
เทรด Forex ในตลาดหมี
สำหรับการเทรด Forex ในตลาดหมี เพื่อเพิ่มโอกาสในการทำกำไร คุณน้าขอแนะนำให้เปิด Order Sell เพราะตลาดอยู่ในแนวโน้มขาลง โดยคุณจำเป็นต้องใช้เครื่องมือทางเทคนิคเข้ามาช่วยในการวิเคราะห์ และที่สำคัญก็คืออย่างแทงสวนเทรนด์โดยเด็ดขาด เพราะมีความเสี่ยงสูงมากที่จะทำให้คุณพอร์ตแตกค่ะ
เทรด Forex ในตลาดกระทิง
การเทรด Forex ในตลาดกระทิง เพื่อเพิ่มโอกาสในการทำกำไร คุณน้าขอแนะนำการเปิด Order Buy เนื่องจากตลาดอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น ซึ่งเทรดเดอร์จำเป็นต้องใช้เครื่องมือทางเทคนิคเข้ามาช่วยในการวิเคราะห์ และที่สำคัญก็คือ อย่าแทงสวนเทรนด์เช่นเดียวกันกับตลาดหมี เนื่องจากการเทรดสวนเทรนด์เป็นอันตรายอย่างมาก
สำหรับเครื่องมือทางเทคนิคที่ใช้วิเคราะห์ตลาดหมีและตลาดกระทิง คุณน้าขอแนะนำก็คือ MACD Indicator และ RSI Indicator ซึ่งคุณน้าแนะนำให้ใช้อินดิเคเตอร์ 2 ชนิดควบคู่กันไป เพราะการใช้อินดิเคเตอร์เพียงชนิดเดียวไม่ได้มีความแม่นยำ 100% โดยคุณน้าขอยกตัวอย่างวิธีสังเกตง่าย ๆ ที่เทรดเดอร์สามารถเข้าใจได้ด้วยตนเอง ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้
Indicator | ตลาดหมี | ตลาดกระทิง |
MACD | เส้น MACD Line มีค่าเป็นลบ เนื่องจากเส้นค่าเฉลี่ยราคา (EMA 12) ระยะสั้น มีค่าน้อยกว่าเส้นเฉลี่ยราคา (EMA 26) ระยะยาว | เส้น MACD Line มีค่าเป็นบวก เนื่องจากเส้นค่าเฉลี่ยราคา (EMA 12) ระยะสั้น มีค่ามากกว่าเส้นเฉลี่ยราคา (EMA 26) ระยะยาว |
RSI | กราฟแท่งเทียนในปัจจุบันและกราฟ RSI Indicator สร้างจุดต่ำสุดใหม่ (Lower Low) ต่ำกว่าจุดต่ำสุดก่อนหน้าเช่นเดียวกัน เพราะโมเมนตัมของราคาอ่อนแออย่างต่อเนื่อง | กราฟแท่งเทียนในปัจจุบันและกราฟ RSI Indicator จุดสูงสุดใหม่ (Higher High) สูงกว่าจุดสูงสุดก่อนหน้าเช่นเดียวกัน เพราะโมเมนตัมของราคาแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง |
นอกจากอินดิเคเตอร์ที่กล่าวไปข้างต้น ยังมีอินดิเคเตอร์อีกหลายชนิดที่สามารถระบุแนวโน้มของตลาดหมีและตลาดกระทิงได้ค่ะ ดังนั้น คุณน้าขอแนะนำ 7 อินดิเคเตอร์ Forex ยอดนิยม สามารถศึกษาเนื้อหาเพิ่มเติมได้ที่บทความด้านล่างได้เลยค่ะ

⭐ คุณน้าแนะนำโบรกเกอร์คุณสมบัติเด่น!
การเลือกโบรกเกอร์ถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญ สำหรับการเทรด Forex ค่ะ
เพราะโบรกเกอร์จะพัฒนาระบบและเครื่องมือต่าง ๆ ที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้การเทรดของคุณเป็นไปอย่างราบรื่นให้ได้มากที่สุด
สำหรับเทรดเดอร์ที่ยังไม่มั่นใจว่า โบรกเกอร์ Forex แบบไหนดี?
คุณน้าได้รวบรวมการจัดอันดับของโบรกเกอร์ในทุกคุณสมบัติ เช่น สเปรดต่ำ, เทรดทอง หรือโบนัสฟรี

💡 คัมภีร์เริ่มต้น มือใหม่หัดเทรด
มือใหม่หัดเทรดที่ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดี? คุณน้าได้รวบรวมเนื้อหาสำคัญที่ถือเป็นจุดเริ่มต้น สำหรับการเทรด Forex มาไว้ให้แล้วที่นี่!
🔍 ตัวอย่างเนื้อหา มือใหม่หัดเทรดต้องรู้!
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Bear Market VS Bull Market
การลงทุนในตลาดหมีเป็นอย่างไร?
การลงทุนในตลาดหมีควรเน้นไปที่สินทรัพย์ที่มีความปลอดภัย เนื่องจากตลาดอยู่ในแนวโน้มขาลง (Bearish Trend) อย่างต่อเนื่อง ทำให้นักลงทุนเริ่มรู้สึกไม่เชื่อมั่น รวมถึงไม่กล้าลงทุนสินทรัพย์เสี่ยงจนเกินไป อย่างไรก็ดี สำหรับเทรดเดอร์สายเก็งกำไรระยะสั้นในตลาด Forex มักจะ Short Sell หรือที่เรียกกันว่า Order Sell เพื่อเพิ่มโอกาสในการทำกำไรในช่วงตลาดขาลง
ตลาด Bull Run คืออะไร?
ตลาด Bull Run หรือตลาดกระทิงก็คือ ตลาดอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากนักลงทุนมีความเชื่อมั่นสูง ทำให้มีกิจกรรมซื้อขายเป็นจำนวนมาก เมื่อเกิดความต้องการที่เพิ่มมากขึ้นก็ส่งผลให้ราคาสินทรัพย์มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
สัญญาณ ตลาดกระทิงเป็นอย่างไร?
สัญญาณ ตลาดกระทิงมีวิธีการสังเกต 3 วิธีหลัก ได้แก่ แนวโน้มราคาปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง(Bullish Trend), มีความชันเพิ่มมากขึ้น รวมถึงจุดสูงสุดใหม่ (New High) สูงกว่าจุดสูงสุดก่อนหน้า และจุดต่ำสุดใหม่ (New Low) สูงกว่าจุดต่ำสุดก่อนหน้า
สรุปความเข้าใจตลาดหมี (Bear Market) และตลาดกระทิง (Bull Market)

จากที่กล่าวไปข้างต้น จะเห็นได้ว่าตลาดหมี (Bear Market) และตลาดกระทิง (Bull Market) มีความแตกต่างกัน โดยมีลักษณะสำคัญ คือ ตลาดหมีจะอยู่ในแนวโน้มขาลง ส่วนตลาดกระทิงจะอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นนั่นเองค่ะ ซึ่งปัจจัยที่ส่งผลต่อตลาดหมี (Bear Market) และตลาดกระทิง (Bull Market) ก็มีปัจจัยที่แตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็นราคาสินทรัพย์, ปริมาณการซื้อขาย, สภาวะเศรษฐกิจ, ข่าวสารที่เกี่ยวกับสถานการณ์โลก และรูปแบบการลงทุนในช่วงนั้น ทำให้นักลงทุนหรือเทรดเดอร์สามารถคาดการณ์สภาวะของตลาดได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไรได้ โดยคุณสามารถนำเทคนิคและแนวทางการรับมือที่คุณน้าได้กล่าวไปข้างต้น นำมาปรับใช้กับรูปแบบการลงทุนของคุณได้ค่ะ และที่สำคัญก็คือ อย่าลืมวางแผนและบริหารความเสี่ยงในการลงทุนทุกครั้ง ก่อนเริ่มต้นลงทุนด้วยความปรารถนาดีจากทีมงานคุณน้าพาเทรดค่ะ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก : Investopedia และธนาคารพาณิชย์
สำหรับใครที่สนใจอ่านรีวิวโบรกเกอร์ : Review Brokers
บทความในเรื่องการลงทุนที่น่าสนใจ : Investing
คลังความรู้จากคุณน้า : Knowledge