ตลาดหุ้นจีน ยังน่าลงทุนอยู่ไหม? หลังฟื้นตัวแรงในรอบ 3 ปี มีกองทุนไหนน่าสนใจบ้าง!

ตลาดหุ้นจีน ยังน่าลงทุนอยู่ไหม? หลังฟื้นตัวแรงในรอบ 3 ปี มีกองทุนไหนน่าสนใจบ้าง
Table of Contents

ดูเหมือนว่า ข่าวล่ามาแรงสำหรับนักลงทุนในตอนนี้ คงไม่พ้นตลาดหุ้นจีนนั่นเองค่ะ เพราะหลังจากที่หุ้นจีนปรับตัวลงในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา นักลงทุนได้เริ่มย้ายการลงทุนไปยังตลาดประเทศอื่นแทน ซึ่งในปี 2567 นี้ หุ้นจีนเริ่มกลับมาเป็นที่น่าจับตามองอีกครั้ง เพราะรัฐบาลจีนได้ปรับมาตรการเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศและดึงดูด Fund Flow จากนักลงทุนต่างประเทศมากยิ่งขึ้น

ในบทความนี้ คุณน้าจะพาทุกคนมาดูว่า ตลาดหุ้นจีน ยังน่าลงทุนอยู่ไหม? ในปี 2567 นี้ และมีกองทุนหุ้นจีนไหนที่น่าสนใจบ้าง? ไปติดตามกันเลยค่ะ!


บทความที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนเพิ่มเติม :


ตลาดหุ้นจีน วันนี้เป็นอย่างไร?

ตลาดหุ้นจีน วันนี้เป็นอย่างไร?

หากพูดถึงตลาดหุ้นจีนในวันนี้ ดูเหมือนว่าจะดูสดใสขึ้นกว่าเมื่อก่อนนะคะ เพราะตั้งแต่เข้าสู่เดือนเมษายนที่ผ่านมา ตลาดหุ้นจีนเริ่มฟื้นตัวดีขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะกับดัชนีหุ้นจีนที่จดทะเบียนบนตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง ที่มีการปรับตัวขึ้นราว ๆ 25% นับตั้งแต่ที่ราคาหุ้นร่วงลงจนถึงจุดต่ำสุดในช่วงต้นปีที่ผ่านมา (ข้อมูลในวันที่ 15 มิถุนายน 2567)

5 ปัจจัยที่ทำให้หุ้นจีนเติบโตในวันนี้ มีอะไรบ้าง?

5 ปัจจัยที่ทำให้หุ้นจีนเติบโตในวันนี้ มีอะไรบ้าง

1. เศรษฐกิจขยายการเติบโต

จาก GDP ของจีนให้ข้อมูลว่า ในไตรมาสแรกเศรษฐกิจขยายตัวขึ้น 5.3% ซึ่งเป็นผลมาจากภาคการผลิตที่มีการเติบโตขึ้น โดยตัวเลขของภาคการผลิต China Manufacturing PMI และ Caixin Manufacturing PMI ขยายตัวขึ้นถึง 50 จุด เพราะการฟื้นตัวของอุปสงค์และยอดสั่งซื้อสินค้าที่เพิ่มมากขึ้นนั่นเองค่ะ

2. การประเมินมูลค่าของตลาดหุ้นจีนตึงตัวต่ำกว่าที่ตลาดอื่น

การประเมินมูลค่า หรือ Valuation ของตลาดหุ้นจีนมีการตึงตัวต่ำกว่าตลาดหุ้นอื่นค่ะ ส่งผลให้นักลงทุนเริ่มย้ายการลงทุนจากตลาดหุ้นประเทศอื่นกลับเข้ามาลงทุนในจีนมากขึ้น

3. Fund Flow จากนักลงทุนในจีนและนักลงทุนต่างประเทศ

ตลาดหุ้นจีนได้รับแรงหนุน Fund Flow จากนักลงทุนในจีนและนักลงทุนต่างประเทศมากขึ้น โดยฝั่ง Northbound นักลงทุนได้เข้าซื้อหุ้น A-Shares เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่เดือนมกราคม-มีนาคม 2567 ประกอบกับทางฝั่ง Southbound นักลงทุนได้เข้าซื้อหุ้น H-Share เป็นบวกนับจนถึงเดือนพฤษภาคม ในปี 2567 นี้ค่ะ

⭐ Tip! A-Share, B-Share, ADR และ H-Share คืออะไร?

A-Share คือ ดัชนี CSI300 ของบริษัทจีนที่จดทะเบียนและมีฐานธุรกิจในจีนแผ่นดินใหญ่ โดย A-share จะทำการซื้อขายบนตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้และตลาดหลักทรัพย์เซินเจิ้นและใช้สกุลเงินหยวน (CNY) ในการใช้ซื้อขาย อีกทั้ง A-Share จะสามารถซื้อขายได้เฉพาะนักลงทุนสัญชาติจีนและนักลงทุนรายใหญ่เท่านั้นค่ะ

B-Share คือ ดัชนีหุ้นกลุ่มบริษัทเดียวกันกับ A-Share แต่อนุญาตให้นักลงทุนต่างชาติสามารถเข้ามาซื้อขายได้ โดยจะใช้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐหรือสกุลเงินฮ่องกง

ADR หรือ American Depositary Reciept คือ หุ้นกลุ่มบริษัทที่มีฐานธุรกิจในจีนแผ่นดินใหญ่ แต่มีการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ โดยใช้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ

H-Share คือ ดัชนี HSI ของบริษัทจีนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง โดย H-Share จะทำการซื้อขายบนตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงและใช้สกุลเงินฮ่องกง (HKD) ในการซื้อขายค่ะ ซึ่งความพิเศษของ H-Share คือ นักลงทุนทั่วไปสามารถซื้อขายได้นั่นเอง

4. หุ้นกลุ่ม Technology กลายเป็นดาวเด่น

และอีกปัจจัยที่ช่วยให้ตลาดหุ้นจีนฟื้นตัวขึ้นมานั่นก็คือ หุ้นกลุ่ม Tech นั่นเองค่ะ เนื่องจาก หลาย ๆ บริษัทในจีนเริ่มซื้อคืนหุ้นเป็นจำนวนมาก แม้ว่า Valuation ของจีนจะค่อนข้างต่ำ แต่ก็เป็นการส่งสัญญาณถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อตลาดจีนอีกครั้ง สำหรับบริษัทกลุ่ม Technology ที่ประกาศซื้อหุ้นคืนมีหลายบริษัทเป็นอย่างมากค่ะ ยกตัวอย่างเช่น Tencent, Alibaba และ Meituan เป็นต้น 

นอกจากนี้ ผลประกอบการของบริษัทกลุ่ม Technology ในจีนก็เป็นที่น่าจับตามองเป็นอย่างมากค่ะ ยกตัวอย่างเช่น ราคาหุ้นของบริษัท Tencent มีการปรับตัวขึ้น 15% เนื่องจากเร็ว ๆ นี้ Tencent จะเปิดเกมตัวใหม่ Dungeon & Fighter Mobile ซึ่งคาดว่าจะมีแรงหนุนที่ทำให้ราคาหุ้นของ Tencent ปรับตัวขึ้นค่ะ

5. การประกาศนโยบายของรัฐบาลจีน เพื่อหนุนเศรษฐกิจ

และมาที่ปัจจัยสุดท้ายที่ทำให้ตลาดหุ้นจีนเริ่มกลับมาคึกคัก นั่นก็คือ การประกาศนโยบายของรัฐบาลจีน เพื่อหนุนการปฏิรูปเศรษฐกิจในระยะยาว ซึ่งนโยบายของรัฐบาลจีนจะครอบคลุมทั้งตลาดทุนเลยค่ะ โดยการปฏิรูปเศรษฐกิจในครั้งนี้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ China Securities Regulatory Commission (CSRC) ซึ่งคุณน้าจะขอยกตัวอย่างนโยบายที่ CSRC กำลังพัฒนา ไม่ว่าจะเป็น

  • การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโต 5% ตามเป้าหมายในปีนี้
  • การผ่อนปรนกฎเกณฑ์การซื้อบ้านตามหัวเมืองใหญ่ เพื่อผ่อนคลายปัญหาอสังหาริมทรัพย์
  • การผ่อนปรนกฎเกณฑ์การลงทุน เพื่อให้นักลงทุนรายใหญ่สามารถเข้าถึงการลงทุนได้ง่ายขึ้น
  • มีมาตรการควบคุมการ Short Selling และการยกเว้นภาษีเงินปันผลที่ได้รับจากการลงทุนในหุ้นฮ่องกง 
  • ประกาศสนับสนุนตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง เพื่อดึงดูดนักลงทุนทั้งในจีนแผ่นดินใหญ่และนักลงทุนต่างประเทศ


ความท้าทายของตลาดหุ้นจีนในอนาคตจะเป็นอย่างไร?

ความท้าทายของตลาดหุ้นจีนในอนาคตจะเป็นอย่างไร

จากที่กล่าวไปข้างต้น จะเห็นได้ชัดเจนว่า ตลาดหุ้นจีนเริ่มปรับตัวขึ้นจากปีก่อนค่ะ ซึ่งการปรับตัวในครั้งนี้เป็นการปฏิรูปนโยบายในระยะยาว โดยนโยบายที่รัฐบาลจีนได้นำมาใช้ไม่ใช่นโยบายใหม่ค่ะ เนื่องจากในปี 2004 และปี 2014 รัฐบาลจีนเคยนำนโยบายปฏิรูปเข้ามาใช้ในการพัฒนาตลาดหุ้นจีน ซึ่งผลปรากฏว่า ตลาดหุ้นจีนสามารถปรับตัวสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ (อ้างอิง) ดังนั้น คุณน้ามองว่า นักลงทุนที่มีการลงทุนในตลาดหุ้นจีนอยู่แล้ว สามารถคาดหวังได้ว่าตลาดหุ้นจีนในครั้งนี้ จะมีการปรับขึ้นในระยะยาวและเป็นการปรับตัวที่มีเสถียรภาพยิ่งขึ้นค่ะ

อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นจีนในอนาคตก็ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่นักลงทุนควรให้ความสำคัญเช่นกันค่ะโดยคุณน้าขอยกตัวอย่าง 3 ปัจจัยเสี่ยงที่นักลงทุนควรให้ความสำคัญ ดังนี้ค่ะ

1. การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ยังคงชะลอตัว 

สำหรับการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ในจีนยังคงปรับตัวลดลง ในเดือนมกราคม-มีนาคมที่ผ่านมา อสังหาริมทรัพย์ลดลง 9.0% เมื่อเทียบกับปี 2566 ค่ะ ซึ่งสาเหตุหลักที่ทำให้อสังหาริมทรัพย์ชะลอตัวเป็นเพราะปริมาณหนี้เสียจากการที่ชาวจีนซื้อบ้านมีมากขึ้น ทำให้รัฐบาลจีนต้องผ่อนปรนกฎเกณฑ์การซื้อบ้านตามหัวเมืองใหญ่ ๆ 

ยกตัวอย่างเช่น เมืองเซินเจิ้น ได้ประกาศผ่อนคลายข้อจำกัดด้านภาษีเงินได้ส่วนบุคคล คือ ประชาชนสามารถซื้อบ้านได้ทันที หลังจากได้รับใบอนุญาตเป็นผู้อาศัย ซึ่งจะแตกต่างจากก่อนหน้านั้นที่ ประชาชนจะต้องได้รับใบอนุญาต 3 ปีขึ้นไป รวมทั้ง ในกรณีที่ครอบครัวมีบุตรตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป สามารถซื้อบ้านเพิ่มอีกหลังได้ โดยบ้านที่ซื้อเพิ่มจะต้องไม่อยู่ในเขตหลักของเซินเจิ้นค่ะ

2. อุตสาหกรรมค้าปลีกยังชะลอตัว

สำหรับอุตสาหกรรมค้าปลีกของจีนนั้น ยังคงมีการชะลอตัวเช่นเดียวกับการลงทุนภาคอสังหาริมทรัพย์ค่ะ เนื่องจากผู้บริโภคยังคงมีความกังวลต่อความเชื่อมั่นของเศรษฐกิจในจีนเอง

3. สงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกา

มาต่อกันที่ปัจจัยเสี่ยงสุดท้ายที่นักลงทุนควรติดตามเป็นพิเศษ นั่นก็คือ สงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกา เนื่องจากในวันที่ 14 พฤษภาคม 2567 ที่ผ่านมา รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ออกแถลงการณ์เตรียมประกาศใช้มาตรการตั้งกำแพงภาษีกับจีน โดยมีมูลค่ากว่า 18,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐและมาตรการนี้จะเริ่มใช้ตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป

การที่สหรัฐอเมริกาออกมาตรการตั้งกำแพงภาษีกับจีนอีกครั้ง ก็เพื่อกระตุ้นและโน้มน้าวให้จีนยุติการใช้การค้าที่ไม่เป็นธรรม จนส่งผลให้อุปทานล้นตลาด ซึ่งสินค้าที่รัฐบาลไบเดนจะปรับขึ้นนั้น มีทั้งหมดหลายรายการ ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ไฟฟ้า EV, โซลาร์เซลล์, สินค้าทางการแพทย์, แร่ธาตุสำคัญ, เหล็ก, เซมิคอนดักเตอร์ และอลูมิเนียม เป็นต้น นอกจากนี้ สินค้าที่เคยตั้งกำแพงภาษีในยุคประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ยังคงใช้อยู่ 

ในขณะที่ ทางรัฐบาลจีนได้ออกแถลงการณ์ว่า การที่สหรัฐอเมริกาตั้งกำแพงด้านภาษีเป็นการละเมิดกฎระเบียบทางการค้าโลก (WTO) และการขึ้นภาษีของสหรัฐอเมริกาเป็นการขัดกับฉันทมติที่ผู้นำทั้ง 2 ประเทศเห็นพ้องต้องกันค่ะ


นักลงทุนควรลงทุนในตลาดหุ้นจีน ตอนนี้ดีไหม? 

สำหรับนักลงทุนที่กำลังให้ความสนใจลงทุนในหุ้นจีน แล้วเกิดข้อสงสัยว่า ลงทุนตอนนี้ดีไหม? เพราะจากปัจจัยเสี่ยงทางด้านอสังหาริมทรัพย์, อุตสาหกรรมค้าปลีก และสงครามการค้ากับสหรัฐฯ ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนค่อนข้างมาก ซึ่งส่วนตัวคุณน้ามองว่า นักลงทุนที่ยังไม่เคยลงทุนในหุ้นจีนเลย การลงทุนในช่วงนี้ก็ถือว่าเป็นการจับจังหวะที่ดีเลยทีเดียว โดยคุณน้าขอแนะนำการลงทุนแบบถัวเฉลี่ยค่ะ เพราะนักลงทุนไทยสามารถกระจายการลงทุนได้ทั้งตลาดหุ้นจีนและตลาดหุ้นฮ่องกงผ่านตลาดหุ้นไทยอย่างกองทุน ETF และผลิตภัณฑ์ DR เป็นต้น ซึ่งขึ้นอยู่กับสไตล์การลงทุนของแต่ละคนเลยค่ะ 

สำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในตลาดหุ้นจีนกับผลิตภัณฑ์ DR ทางตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้มีหลักทรัพย์อ้างอิง ETFs ที่ลงทุนในตลาดหุ้นจีนและฮ่องกงทั้งหมด 5 ตัว ได้แก่ 

  • CNTECH01 : มีหลักทรัพย์อ้างอิงเป็น ChinaAMC Hang Seng TECH Index ETF ที่อ้างอิงดัชนี Hang Seng TECH
  • CN01 : มีหลักทรัพย์อ้างอิงเป็น ChinaAMC CSI 300 Index ETF ที่อ้างอิงดัชนี CSI 300
  • HK01 : มีหลักทรัพย์อ้างอิงเป็น Tracker Fund of Hong Kong ที่อ้างอิงดัชนี Hang Seng (HSI)
  • STAR5001 : มีหลักทรัพย์อ้างอิงเป็น Premia China STAR50 ETF ที่อ้างอิงดัชนี STAR 50
  • HKCE01 : มีหลักทรัพย์อ้างอิงเป็น Hang Seng China Enterprises Index ETF ที่อ้างอิงดัชนี Hang Seng China Enterprises Index (HSCEI)

คุณสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ SET ได้เลยค่ะ


กองทุนหุ้นจีน กองไหนดี 2567 มีอะไรบ้าง?

สำหรับนักลงทุนที่ให้ความสนใจกองทุนในตลาดหุ้นจีน แต่ยังไม่รู้ว่า จะลงทุนในกองไหนดี? คุณน้าขอแนะนำ 5 กองทุน เพื่อประกอบการพิจารณา ดังนี้ค่ะ

กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นจีน THB เฮ็ดจ์ : SCBCEH

กองทุนหุ้นจีน กองไหนดี 2567 : SCBCEH
  • บลจ. : SCBAM
  • ค่าธรรมเนียมขาย : 0.5%
  • ค่าธรรมเนียมซื้อ : 0%
  • ค่าใช้จ่ายกองทุนรวม : 1% ต่อปี
  • ลงทุนครั้งแรกและครั้งต่อไป : 1 บาท
  • ผลตอบแทนในระยะเวลา 1 ปี : 1.13%

กองทุนเปิดทหารไทย China Equity Index : TMBCHEQ

กองทุนหุ้นจีน กองไหนดี 2567 : TMBCHEQ
  • บลจ. : EASTSPRING
  • ค่าธรรมเนียมขาย : N/A
  • ค่าธรรมเนียมซื้อ : N/A
  • ค่าใช้จ่ายกองทุนรวม : 0% ต่อปี
  • ลงทุนครั้งแรกและครั้งต่อไป : 1 บาท
  • ผลตอบแทนในระยะเวลา 1 ปี : 1.49%

กองทุนเปิด ยูโอบี สมาร์ท เกรธเธอร์ ไชน่า : UOBSGC

กองทุนหุ้นจีน กองไหนดี 2567 : UOBSGC
  • บลจ. : UOBAM
  • ค่าธรรมเนียมขาย : 1.5%
  • ค่าธรรมเนียมซื้อ : 0%
  • ค่าใช้จ่ายกองทุนรวม : 1.61% ต่อปี
  • ลงทุนครั้งแรกและครั้งต่อไป : ไม่มีขั้นต่ำ
  • ผลตอบแทนในระยะเวลา 1 ปี : 22.95%

กองทุนเปิดเค ดัชนีหุ้นจีน : K-CHX

กองทุนหุ้นจีน กองไหนดี 2567 : K-CHX
  • บลจ. : KASSET
  • ค่าธรรมเนียมขาย : 0%
  • ค่าธรรมเนียมซื้อ : 0.15%
  • ค่าใช้จ่ายกองทุนรวม : 0.54% ต่อปี
  • ลงทุนครั้งแรกและครั้งต่อไป : 500 บาท
  • ผลตอบแทนในระยะเวลา 1 ปี : -2.26%

กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ หุ้นจีนเอแชร์ (ชนิดช่องทางอิเล็กทรอนิกส์) : SCBCHAE

กองทุนหุ้นจีน กองไหนดี 2567 : SCBCHAE
  • บลจ. : SCBAM
  • ค่าธรรมเนียมขาย : 0%
  • ค่าธรรมเนียมซื้อ : 0.11%
  • ค่าใช้จ่ายกองทุนรวม : 0% ต่อปี
  • ลงทุนครั้งแรกและครั้งต่อไป : 1 บาท
  • ผลตอบแทนในระยะเวลา 1 ปี : -5.90%


ตลาดหุ้นจีน มีอะไรบ้าง?

ในปัจจุบันตลาดหุ้นจีน สามารถแบ่งออกได้เป็น ประเภทหลัก ได้แก่ A-Share, B-Share, ADR และ H-Share  

กองทุนหุ้นจีน กองไหนดี 2567

  • กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นจีน THB เฮ็ดจ์ : SCBCEH
  • กองทุนเปิดทหารไทย China Equity Index : TMBCHEQ
  • กองทุนเปิด ยูโอบี สมาร์ท เกรธเธอร์ ไชน่า : UOBSGC
  • กองทุนเปิดเค ดัชนีหุ้นจีน : K-CHX
  • กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ หุ้นจีนเอแชร์ (ชนิดช่องทางอิเล็กทรอนิกส์) : SCBCHAE

หุ้นจีน Index มีตัวไหนน่าสนใจบ้าง?

สำหรับดัชนีหุ้นจีน หรือ China Index มีหลายตัวที่น่าสนใจค่ะ ไม่ว่าจะเป็น ดัชนี CSI300, ดัชนี STAR 50 และดัชนี HSI เป็นต้น


สรุป ตลาดหุ้นจีนน่าลงทุนไหม? 

ตลาดหุ้นจีนยังถือว่า น่าลงทุนในช่วงเวลานี้ค่ะ เนื่องจากการปรับมาตรการของรัฐบาลจีนที่พยายามกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้คาดว่า ตลาดทุนในจีนกำลังฟื้นตัวขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งคุณน้ามองเห็นว่า ในช่วงนี้ยังคงเป็นจังหวะการลงทุนที่ดีค่ะ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่นักลงทุนควรติดตามให้ดีก็คือ สงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ซึ่งในอนาคตจะเป็นอย่างไรนั้น โปรดติดตามกันต่อไปค่ะ

ขอบคุณข้อมูลจาก : กรุงเทพธุรกิจ, SET, ประชาชาติธุรกิจ และ Finnomena


สำหรับใครที่สนใจอ่านรีวิวโบรกเกอร์ : Review Brokers

บทความในเรื่องการลงทุนที่น่าสนใจ : Investing

คลังความรู้จากคุณน้า : Knowledge

khunnaphatrade
khunnaphatrade
Recent Post
Wiz Cyber Security บริษัทที่ Google เลือกดีล 2024
Wiz Cyber Security บริษัทที่ Google ดีล 2024

ในบทความนี้ คุณน้าจะพาทุกคนมาส่องธุรกิจของ Wiz Cyber Security บริษัท Start-Up ที่ Google เลือกดีล 2024 ว่าบริษัทให้บริการด้านใดบ้าง

วิเคราะห์ทองคำวันที่ 24 กรกฎาคม 2567
วิเคราะห์ทองคำวันที่ 24 กรกฎาคม 2567 By คุณน้าพาเทรด

สวัสดีสายเทรดทองทุกท่านนะคะ วันนี้มาติดตามวิเคราะห์ทองคำประจำวันพุธที่ 24 กรกฎาคม 2567 กันค่า ปัจจัยเศรษฐกิจภาพรวม เมื่อวานนี้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นมากว่า 13 ดอลลาร์

โบรกเกอร์ Forex โบนัสฟรีมาแรง เทรดฟรี ถอนได้ ปี 2024
5 โบรกเกอร์ Forex โบนัสฟรีมาแรง เทรดฟรี ปี 2024

อยากเทรดฟรี มีโบรกไหนแจกเงินและโบนัสฟรี เงื่อนไขดี ๆ บ้างนะ? คุณน้าจะพาไปดู 5 โบรกเกอร์ Forex โบนัสฟรีมาแรง เทรดฟรี ถอนได้แน่นอน เพียงแค่ทำตามเงื่อนไขค่ะ