คุยหุ้นสหรัฐ เจาะลึกทุกมุมมอง วันที่ 4 สิงหาคม 2025

คุยหุ้นสหรัฐ เจาะลึกทุกมุมมอง วันที่ 4 สิงหาคม 2025
Table of Contents

หุ้นสหรัฐถือเป็นหุ้นที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก ซึ่งการเคลื่อนไหวของหุ้นสหรัฐเพียงหนึ่งครั้งก็สามารถส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นอื่น ๆ ทั่วโลก ดังนั้น ในบทความนี้เราจะมาคุยหุ้น เจาะลึกปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยทางเทคนิคที่ส่งผลต่อตลาดหุ้นสหรัฐ รวมถึงความเสี่ยงและมุมมองในการลงทุน สายวิเคราะห์หุ้นสหรัฐห้ามพลาดบทความนี้!

คุยหุ้นสหรัฐวันนี้ (US 500/ S&P 500)

บทวิเคราะห์ภาพรวมปัจจัยพื้นฐานหุ้นสหรัฐ

ดัชนี S&P 500 ปิดสัปดาห์ก่อนหน้าด้วยการร่วงลงอย่างหนัก โดยลดลงถึง 1.60% ในวันศุกร์ รวมลดลง 2.36% ตลอดทั้งสัปดาห์ ซึ่งนับเป็นการร่วงลงในวันเดียวที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคมค่ะ ท่ามกลางความผิดหวังจากรายงานการจ้างงานของสหรัฐฯ และความตึงเครียดทางการค้าที่เพิ่มขึ้นจากการที่ประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศเก็บภาษีนำเข้าในวงกว้าง โดยรายงานการจ้างงานเดือนกรกฎาคมออกมาต่ำกว่าคาดมาก ซึ่งทำให้ตลาดกังวลว่าเศรษฐกิจอาจเริ่มชะลอตัว และก่อให้เกิดกระแสคาดการณ์ว่า เฟดอาจต้องลดดอกเบี้ยในการประชุมครั้งหน้า ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ดิ่งลง และความคาดหวังว่าดอกเบี้ยจะถูกปรับลดลง พุ่งขึ้นเกิน 86% ค่ะ

ความเชื่อมั่นของตลาดยิ่งสั่นคลอนจากการที่ทรัมป์ประกาศเก็บภาษีนำเข้าสูงสุดถึง 50% กับสินค้าจากหลายประเทศสำคัญ เช่น แคนาดา บราซิล อินเดีย และสหภาพยุโรป ซึ่งทำให้ดัชนีความผันผวน VIX ของ CBOE พุ่งขึ้นมากกว่า 22% ปิดที่ระดับ 20.41 สูงที่สุดตั้งแต่เดือนมิถุนายนค่ะ

แม้ว่าภาพรวมกำไรของบริษัทในดัชนี S&P 500 จะออกมาแข็งแกร่ง โดยเฉพาะในกลุ่มเทคโนโลยี แต่ก็ไม่สามารถพยุงตลาดไว้ได้ค่ะ ข้อมูลจาก LSEG ณ วันพฤหัสฯ ระบุว่าบริษัทในดัชนี S&P 500 ที่รายงานงบไตรมาส 2 ไปแล้ว 297 แห่ง มีการปรับประมาณการเติบโตกำไรขึ้นจาก 5.8% เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม มาอยู่ที่ 9.8% โดยประมาณ 81% ของบริษัทเหล่านี้มีกำไรสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ ช่วยให้ดัชนีลอยตัวใกล้กับระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ แรงหนุนหลักมาจากหุ้นเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง Microsoft (MSFT), Meta Platforms (META), Alphabet (GOOGL), Nvidia (NVDA) และ Amazon (AMZN) ซึ่งรวมกันคิดเป็นเกือบ 25% ของน้ำหนักดัชนี S&P 500 โดยหุ้นเหล่านี้เป็นหัวใจสำคัญของกระแสการลงทุนใน AI โดยเฉพาะ Microsoft และ Meta ที่รายงานผลประกอบการออกมาแข็งแกร่งจนสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน แม้จะมีการแข่งขันจากคู่แข่งอย่าง DeepSeek ของจีนก็ตามค่ะ

อย่างไรก็ตาม กลุ่มเทคโนโลยีก็มีส่วนทำให้ตลาดร่วงในสัปดาห์นี้ด้วยเช่นกัน โดย Amazon (AMZN) ดิ่งลงกว่า 8% หลังแผนก AWS รายงานการเติบโตต่ำกว่าคาด และแนวโน้มกำไรจากการดำเนินงานก็ไม่สดใสจนสร้างความกังวลให้กับนักลงทุน ส่วน Apple (AAPL) ก็ปรับลดลง 2.5% แม้รายได้จาก iPhone และบริการจะออกมาดี แต่ CEO Tim Cook ออกมาเตือนถึงต้นทุนเพิ่มเติมจากภาษีนำเข้าที่อาจสูงถึง 1.1 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่ Meta เองก็ร่วงลงเล็กน้อยในช่วงท้ายสัปดาห์ แม้จะได้แรงหนุนจากการถูกปรับเพิ่มอันดับโดย JPMorgan และกำไรที่แข็งแกร่งในช่วงต้นสัปดาห์ค่ะ

ด้านหุ้นตัวอื่น ๆ ที่เคลื่อนไหวโดดเด่นในดัชนี S&P 500 ได้แก่ Align Technology (ALGN) และ First Solar (FSLR) ที่ปรับขึ้นมากกว่า 5% ช่วยพยุงดัชนีไว้ได้บ้างค่ะ ในทางกลับกัน Eastman Chemical (EMN) ดิ่งลง 19% แตะจุดต่ำสุดในรอบห้าปี หลังรายงานผลประกอบการที่น่าผิดหวัง ขณะที่ UnitedHealth (UNH) ก็ร่วงเกือบ 5% แตะระดับต่ำสุดในรอบห้าปีเช่นกัน

อย่างไรก็ดี บรรยากาศโดยรวมในตลาดค่อนข้างอ่อนแอ โดยจำนวนหุ้นที่ปรับตัวลดลงมีมากกว่าหุ้นที่ดีดตัวเพิ่มขึ้นทั้งในตลาด NYSE และ Nasdaq ค่ะ ซึ่งกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยนำการปรับตัวลง และดิ่งลงเกือบ 3.6% กลายเป็นกลุ่มที่แย่ที่สุดของวัน แม้จะมีหุ้นบางตัวอย่าง Monolithic Power Systems (MPWR) ที่พุ่งขึ้นมากกว่า 10% แต่บรรยากาศโดยรวมก็ยังคงเป็นลบค่ะ

ก่อนหน้านี้ นักลงทุนจำนวนไม่น้อยได้ลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นเติบโตสูง เนื่องจากความกังวลเรื่องภูมิรัฐศาสตร์และเงินเฟ้อ แต่กำไรในไตรมาส 2 ที่ออกมาแข็งแกร่งก็ทำให้ความสนใจในกลุ่มเทคโนโลยีกลับมาอีกครั้งค่ะ อย่างไรก็ตาม นักลงทุนสถาบันยังถือหุ้นไม่มากเมื่อเทียบกับระดับปกติ ซึ่งหมายความว่ายังมีโอกาสที่ตลาดจะฟื้นตัวได้ หากมีการเข้าซื้ออย่างกว้างขวางมากขึ้น นักวิเคราะห์เตือนว่าช่วงเดือนสิงหาคมถึงกันยายนที่มักจะมีความผันผวน อาจนำมาซึ่งความปั่นป่วนเพิ่มขึ้น แต่ก็อาจเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนระยะยาวในการเข้าลงทุนในธีมการเติบโตที่ขับเคลื่อนด้วย AI ค่ะ

ในขณะเดียวกัน ดัชนี Philadelphia Semiconductor Index (SOX) ซึ่งประกอบด้วยหุ้นผู้ผลิตชิป AI อย่าง AMD, Qualcomm, Broadcom และ Micron กลับทำผลงานต่ำกว่าตลาดโดยรวม และยังไม่สามารถทำจุดสูงสุดใหม่ได้เลยตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2024 ทำให้นักวิเคราะห์ออกมาเตือนว่าอาจเป็นสัญญาณของกระแส AI ที่กำลังถึงจุดพีค และแนะนำให้นักลงทุนอย่าพึ่งพา Nvidia เป็นตัวชี้นำหลักเพียงอย่างเดียวค่ะ

อย่างไรก็ดี ดัชนี S&P 500 ก็ยังคงได้แรงหนุนจากกลุ่มหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ค่ะ นักวิเคราะห์มองว่าถึงแม้เศรษฐกิจบางส่วนของสหรัฐฯ จะยังคงเปราะบาง แต่ความแข็งแกร่งและขนาดของบริษัทเทคฯ ช่วยรองรับความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อและความเสี่ยงด้านการค้าได้ระดับหนึ่ง ขณะเดียวกัน ผลประกอบการจากหุ้นกลุ่ม Dow เช่น Disney (DIS), McDonald’s (MCD) และ Caterpillar (CAT) จะเป็นตัวชี้วัดสุขภาพของกลุ่มธุรกิจนอกภาคเทคโนโลยี หากออกมาดี ก็อาจช่วยหนุนแนวโน้มขาขึ้นของตลาด และพาดัชนี Dow ขึ้นสู่ระดับสูงสุดใหม่ได้ค่ะ

สรุปแล้ว แม้ดัชนี S&P 500 อาจร่วงลงในสัปดาห์ที่แล้วจากข้อมูลแรงงานที่อ่อนแอ ความกังวลด้านภาษีนำเข้า และการรายงานกำไรที่น่าผิดหวังจากหุ้นชั้นนำอย่าง Amazon แต่ดัชนียังคงมีพื้นฐานที่แข็งแกร่งจากกลุ่มเทคโนโลยีและ AI ซึ่งถึงแม้เส้นทางข้างหน้าอาจไม่ราบรื่นนัก แต่ด้วยภาวะนำตลาดของหุ้นเทคขนาดใหญ่ และแนวโน้มกำไรที่ยังคงเติบโต ก็ทำให้คุณน้ายังมองเห็นความหวังในตลาดอยู่ไม่น้อยเลยค่ะ

บทวิเคราะห์ภาพรวมทางเทคนิคหุ้นสหรัฐ

คุยหุ้นสหรัฐ วันที่ 4 สิงหาคม 2025

ดัชนี US500 (S&P 500) ก่อนหน้านี้เคลื่อนไหวอยู่ใกล้จุดสูงสุดตลอดกาล หลังจากที่ตลาดได้ปรับตัวขึ้นในวงกว้าง โดยได้รับแรงหนุนหลักจากหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ (Megacap) ค่ะ อย่างไรก็ตาม การอ่อนตัวลงล่าสุดของหุ้นบางตัว เช่น Amazon (AMZN) และ Meta (META) อาจบ่งชี้ถึงการชะลอตัวในระยะสั้น แต่ดัชนีโดยรวมก็ยังคงเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแนวโน้มขาขึ้นระยะยาวอย่างมั่นคงค่ะ

จากมุมมองทางเทคนิค แนวรับแรกอยู่ใกล้ระดับ 6,200 ส่วนแนวรับที่แข็งแกร่งกว่านั้นจะอยู่แถว ๆ ระดับ 6,100 ค่ะ ดัชนี RSI ยังอยู่ในระดับสูงแต่ยังไม่ถึงขั้นเข้าสู่ภาวะซื้อเกินไป (Overbought) จึงยังพอมีโอกาสให้ดัชนีปรับขึ้นต่อได้ หากสภาวะเศรษฐมหภาคและแนวโน้มกำไรของบริษัทต่าง ๆ ยังคงสนับสนุนค่ะ

หากดัชนีสามารถทะลุผ่านระดับ 6,300 ได้ จะเป็นการยืนยันแนวโน้มขาขึ้น และอาจเปิดทางให้ดัชนีเคลื่อนไปสู่ระดับ 6,400–6,450 ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้าค่ะ อย่างไรก็ตาม หากตลาดโดยรวมอ่อนแอลง โดยเฉพาะจากหุ้นขนาดใหญ่อย่าง Apple, Nvidia หรือ Microsoft แนวโน้มการปรับฐานในระยะสั้นก็อาจเกิดขึ้นได้ และอาจทดสอบแนวรับบริเวณ 6,100–6,150 ได้เช่นกันค่ะ

ทั้งนี้ ตราบใดที่ดัชนียังยืนเหนือระดับ 6,000 ได้ โครงสร้างภาพรวมในเชิงบวกก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงค่ะ คุณน้าแนะนำให้ติดตามปัจจัยภายในตลาด โดยเฉพาะการหมุนเวียนของกลุ่มหุ้น และความแข็งแกร่งของตลาดอย่างใกล้ชิด เพื่อใช้เป็นสัญญาณยืนยันแนวโน้มด้วยนะคะ

📍ข้อมูลประกอบการวิเคราะห์ทางเทคนิค (US 500/ S&P 500)

  • แนวรับสำคัญ : 6255.0, 6253.7, 6251.6            
  • แนวต้านสำคัญ : 6259.2, 6260.5, 6262.6

ข่าวที่ส่งผลกระทบต่อแนวโน้มหุ้นสหรัฐ

ข่าวที่ส่งผลกระทบต่อแนวโน้มหุ้นสหรัฐ

ที่มา : Forexfactory

กำหนดการรายงานผลประกอบการ

กำหนดการรายงานผลประกอบการ

ที่มา : TradingView

📍หุ้นสหรัฐที่น่าจับตามอง

  • Amazon (AMZN) : หลังจากปรับตัวลงมาภายหลังจากการรายงานผลประกอบการล่าสุด ตลาดตอบรับในเชิงลบกับการเติบโตของ AWS ที่ต่ำกว่าคาด ซึ่งยังช้ากว่าคู่แข่งรายอื่น ๆ อย่างชัดเจน ทางเทคนิคตอนนี้ AMZN กำลังเคลื่อนไหวอยู่ใกล้ ๆ แนวรับสำคัญระหว่าง 210–215 ดอลลาร์ ถ้าหลุดต่ำกว่า 210 ดอลลาร์ จุดรับถัดไปจะอยู่ที่ระดับจิตวิทยาประมาณ 200 ดอลลาร์ค่ะ อย่างไรก็ตาม ถ้าความเชื่อมั่นกลับมา และ AWS สามารถสร้างแรงดึงดูดกลับคืนมาได้อีกครั้ง หุ้นก็มีโอกาสรีบาวด์กลับไปทดสอบแนวต้านแถว 230–240 ดอลลาร์ได้ค่ะ ทั้งนี้ แนวโน้มขาขึ้นระยะกลางยังคงอยู่ ถ้ายังไม่หลุด 200 ดอลลาร์ และนักวิเคราะห์หลายสำนักก็ยังคงมองเป้าราคาภายใน 12 เดือนข้างหน้าไว้ที่ประมาณ 259–262 ดอลลาร์ค่ะ
  • Apple (AAPL) : ปรับตัวลงหลังจากความตื่นเต้นของนักลงทุนลดลงหลังรายงานผลประกอบการค่ะ แม้จะปรับลงมา แต่โครงสร้างทางเทคนิคยังถือว่าแข็งแรงดีนะคะ โดยมีแนวรับแข็งแกร่งอยู่ที่ช่วง 200–205 ดอลลาร์ และ RSI รายวันก็เริ่มเข้าสู่ภาวะ Oversold เล็กน้อย ถ้ามีแรงซื้อกลับเข้ามา ก็มีโอกาสรีบาวด์ไปทดสอบแนวต้านแถว 210–213 ดอลลาร์ได้อีกครั้ง แต่ถ้าหลุด 200 ดอลลาร์ อาจมีโอกาสไหลลงต่อไปแถว 190 ดอลลาร์ได้เช่นกัน สำหรับตอนนี้ AAPL อยู่ในช่วงสะสมกำลังค่ะ โดยมีแนวโน้มเป็นกลางไปจนถึงทางบวก
  • Microsoft (MSFT) : ได้แรงหนุนจากการเติบโตของธุรกิจ AI และบริการคลาวด์ Azure ที่แข็งแกร่งมาก ๆ ค่ะ ทางเทคนิคแล้ว ตอนนี้ MSFT กำลังพักตัวเหนือแนวรับสำคัญที่ 520 ดอลลาร์ หากทะลุแนวต้าน 535–540 ดอลลาร์ ขึ้นไปได้อย่างชัดเจน ก็จะเปิดทางให้เกิดขาขึ้นรอบใหม่ โดยมีเป้าหมายถัดไปแถว 550 ดอลลาร์ หรือมากกว่านั้นค่ะ แต่ถ้าหลุดต่ำกว่า 520 ดอลลาร์ อาจเสี่ยงที่จะลงไปทดสอบแนวรับระยะยาวที่ 500 ดอลลาร์ โครงสร้างทางเทคนิคโดยรวมยังเป็นบวกอยู่ โดยเฉพาะถ้าสถานการณ์เศรษฐกิจมหภาคยังคงเอื้ออำนวยค่ะ
  • Meta Platforms (META) : แนวโน้มโดยรวมยังเป็นขาขึ้นชัดเจนค่ะ ด้วยแรงหนุนจากผลประกอบการที่ดี และรายได้จากโฆษณาที่ใช้ AI ซึ่งเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทางเทคนิคตอนนี้ META กำลังเข้าใกล้แนวรับที่ 745 ดอลลาร์ ขณะที่แนวต้านอยู่แถว ๆ 767 ดอลลาร์ ถ้าผ่านแนวต้าน 775 ดอลลาร์ขึ้นไปได้ ก็อาจดึงดูดแรงซื้อจากนักลงทุนเชิงโมเมนตัม และส่งผลให้ราคาพุ่งขึ้นต่อไปยัง 800 ดอลลาร์ได้ค่ะ แต่ถ้าไม่สามารถยืนเหนือ 740 ดอลลาร์ ได้ ก็มีความเสี่ยงที่จะอ่อนตัวกลับมาบริเวณ 720–725 ดอลลาร์ได้เช่นกัน โดยรวมคุณน้ามองว่าโครงสร้างยังเป็นบวกแบบต้องใช้ความระมัดระวังอยู่ค่ะ
  • Nvidia (NVDA) : ยังคงเป็นตัวชี้วัดสำคัญของกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ด้าน AI และความเปลี่ยนแปลงใด ๆ ของกลุ่มนี้ ก็มักจะสะท้อนให้เห็นในราคาของ NVDA อย่างรวดเร็ว ทางเทคนิคแล้ว แนวรับระยะสั้นอยู่ที่ 170–172 ดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นแนวที่สำคัญมาก ถ้ายังยืนระดับนี้ไว้ได้ โครงสร้างขาขึ้นจะยังคงอยู่ โดยหากทะลุแนวต้าน 176–177 ดอลลาร์ได้ ก็มีโอกาสไปต่อในแนวโน้มขาขึ้นได้อีกค่ะ แต่หากหลุด 170 ดอลลาร์ลงมา ก็อาจต้องระวังแรงขายต่อเนื่องลงไปแถว 160 ดอลลาร์ โดยรวมแล้วความผันผวนยังสูงอยู่ค่ะ แต่ถ้ายังยืนเหนือ 170 ดอลลาร์ ได้ คุณน้าก็มองว่าทิศทางระยะกลางยังเป็นบวกค่ะ

🔍คุณน้าแนะนำเทรดหุ้น CFD ไปกับโบรกเกอร์ IUX

เทรดหุ้น CFD กับ IUX โบรกเกอร์หุ้นค่าธรรมเนียมถูก

IUX มีการให้บริการซื้อขายหุ้น CFD ประกอบไปด้วยหุ้นกลุ่ม Magnificent Seven (M7) อีกทั้งยังมีหุ้นให้เลือกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Coca Cola, Adobe, Alibaba, McDonalds Incorporated และ Netflix เป็นต้น ทำให้เหมาะสำหรับเทรดเดอร์มือใหม่และเทรดเดอร์รายย่อยที่มีต้นทุนจำกัดแล้วต้องการซื้อขายหุ้นระดับโลก

สรุปคุยหุ้นสหรัฐและแนวโน้มในการลงทุน (US 500/ S&P 500)

จุดน่าเข้า Buy

  • Buy/ Long 1 : หากมีการแตะแนวรับที่ช่วงราคา 6247.0 – 6255.0 แต่ไม่สามารถทะลุแนวรับที่ 6255.0 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 6260.3 และ SL ที่ประมาณ 6243.0 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
  • Buy/ Long 2 : หากสามารถทะลุแนวต้านที่ช่วงราคา 6259.2 – 6267.2 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 6272.0 และ SL ที่ประมาณ 6251.0 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้                                          

จุดน่าเข้า Sell

  • Sell/ Short 1 : หากมีการแตะแนวต้านที่ช่วงราคา 6259.2 – 6267.2 แต่ไม่สามารถทะลุแนวต้านที่ 6259.2 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 6254.8 และ SL ที่ประมาณ 6271.2 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
  • Sell/ Short 2 : หากสามารถทะลุแนวรับที่ช่วงราคา 6247.0 – 6255.0 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 6244.0 และ SL ที่ประมาณ 6263.0 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้

คำเตือน

บทวิเคราะห์นี้ใช้สำหรับการศึกษาข้อมูลของหุ้นสหรัฐเบื้องต้นเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลของสินทรัพย์และศึกษาความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องอย่างละเอียด ประกอบกับศึกษาแนวโน้มหุ้นและข่าวสหรัฐก่อนตัดสินใจลงทุน


สำหรับใครที่สนใจอ่านรีวิวโบรกเกอร์ : Review Brokers

บทความในเรื่องการลงทุนที่น่าสนใจ : Investing

คลังความรู้จากคุณน้า : Knowledge

Picture of คุณน้า
คุณน้า
Recent Post
วิเคราะห์ USDCAD ดูแนวโน้มราคาล่าสุด วันที่ 5 สิงหาคม 2025
วิเคราะห์ USDCAD ดูแนวโน้มราคาล่าสุด วันที่ 5 สิงหาคม 2025

พบกับวิเคราะห์ USDCAD ที่สายเทรดสั้นห้ามพลาด การวิเคราะห์คู่เงิน Forex ดูแนวโน้มราคาล่าสุด สำหรับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยทางเทคนิค

วิเคราะห์ GBPUSD ดูแนวโน้มราคาล่าสุด วันที่ 5 สิงหาคม 2025
วิเคราะห์ GBPUSD ดูแนวโน้มราคาล่าสุด วันที่ 5 สิงหาคม 2025

พบกับวิเคราะห์ GBPUSD ที่สายเทรดสั้นห้ามพลาด การวิเคราะห์คู่เงิน Forex ดูแนวโน้มราคาล่าสุด สำหรับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยทางเทคนิค

คุยหุ้นสหรัฐ เจาะลึกทุกมุมมอง วันที่ 4 สิงหาคม 2025
คุยหุ้นสหรัฐ เจาะลึกทุกมุมมอง วันที่ 4 สิงหาคม 2025

ในบทความนี้เราจะมาคุยหุ้น เจาะลึกปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยทางเทคนิคที่ส่งผลต่อตลาดหุ้นสหรัฐ รวมถึงความเสี่ยงและมุมมองในการลงทุน สายหุ้นสหรัฐห้ามพลาดบทความนี้!

วิเคราะห์ USDJPY ดูแนวโน้มราคาล่าสุด วันที่ 4 สิงหาคม 2025
วิเคราะห์ USDJPY ดูแนวโน้มราคาล่าสุด วันที่ 4 สิงหาคม 2025

พบกับวิเคราะห์ USDJPY ที่สายเทรดสั้นห้ามพลาด การวิเคราะห์คู่เงิน Forex ดูแนวโน้มราคาล่าสุด สำหรับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยทางเทคนิค

ทางเว็บไซต์ คุณน้าพาเทรด
ได้มีการใช้คุกกี้เพื่อช่วยปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพให้เว็บไซต์ของเราดียิ่งขึ้น


Privacy Policy