หุ้นสหรัฐถือเป็นหุ้นที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก ซึ่งการเคลื่อนไหวของหุ้นสหรัฐเพียงหนึ่งครั้งก็สามารถส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นอื่น ๆ ทั่วโลก ดังนั้น ในบทความนี้เราจะมาคุยหุ้น เจาะลึกปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยทางเทคนิคที่ส่งผลต่อตลาดหุ้นสหรัฐ รวมถึงความเสี่ยงและมุมมองในการลงทุน สายวิเคราะห์หุ้นสหรัฐห้ามพลาดบทความนี้!
คุยหุ้นสหรัฐวันนี้ (US 500/ S&P 500)
บทวิเคราะห์ภาพรวมปัจจัยพื้นฐานหุ้นสหรัฐ
ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทปิดบวกในวันศุกร์ โดยได้รับแรงหนุนมาจากการฟื้นตัวของหุ้นกลุ่มการเงิน และความหวังต่อความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ท่ามกลางสัญญาณความมั่นคงที่ดีขึ้นของธนาคารภูมิภาค และผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่ยังแข็งแกร่ง แม้ว่าความผันผวนของตลาดจะพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 6 เดือนค่ะ
ทั้งนี้ บรรยากาศการลงทุนดีขึ้น หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ลดท่าทีแข็งกร้าวต่อจีน โดยกล่าวว่าภาษีนำเข้าสินค้าจีน 100% ที่เสนอไว้นั้นไม่ยั่งยืน และยืนยันว่ามีแผนจะพบกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ที่เกาหลีใต้ ซึ่งนักลงทุนมองว่าเป็นสัญญาณบวกของการคลี่คลายความเสี่ยงด้านสงครามการค้าที่เคยกดดันตลาดหุ้นเมื่อต้นสัปดาห์ค่ะ
ในขณะเดียวกัน หุ้นกลุ่มการเงินมีบทบาทสำคัญในการฟื้นตัวของตลาด โดยดัชนี S&P 1500 กลุ่มธนาคารภูมิภาคเพิ่มขึ้น 1.8% หลังจากร่วงไปเกือบ 6% ในช่วงก่อนหน้านี้ ขณะที่ดัชนี S&P 500 กลุ่มการเงินเพิ่มขึ้น 0.8% จากแรงหนุนของธนาคารอย่าง Truist Financial (+3.7%) Fifth Third Bancorp (+1.3%) Zions Bancorporation (+5.8%) และ Western Alliance (+3.1%) ที่ฟื้นตัวขึ้น หลังจากนักวิเคราะห์ปรับลดความกังวลเรื่องความเสี่ยงด้านเครดิตในระบบ
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังคงมีความกังวลหลังจากที่ Zions รายงานการขาดทุนสินเชื่อจำนวน 50 ล้านดอลลาร์ และ Western Alliance ถูกฟ้องร้องในคดีเกี่ยวกับการฉ้อโกง ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้ ชวนให้นึกถึงวิกฤติธนาคารภูมิภาคในปี 2023 ท่ามกลางผลประกอบการของธนาคารรายใหญ่ทั้ง JPMorgan Wells Fargo และ Bank of America ที่ยังคงแข็งแกร่ง โดยเฉพาะ Wells Fargo ที่ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมากกว่า 7% เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ส่งผลให้นักวิเคราะห์จาก Bank of America มองว่า Wells Fargo เป็นหนึ่งในธนาคารขนาดใหญ่ที่ให้ความคุ้มค่าในด้านความเสี่ยงและผลตอบแทนค่ะ
นอกจากกลุ่มการเงินแล้ว กลุ่มสินค้าบริโภคพื้นฐานก็เป็นกลุ่มที่ปรับตัวได้ดีที่สุด โดยเพิ่มขึ้น 1.23% ขณะที่หุ้นขนาดใหญ่มีกระแสผลตอบแทนที่หลากหลาย เช่น Tesla ปรับตัวขึ้น 2.5% Apple ปรับตัวขึ้นเกือบ 2% ส่วน Amazon ปรับตัวลง 0.7% ท่ามกลางหุ้นที่โดดเด่นในดัชนี S&P 500 ได้แก่ American Express (+7.3%) Visa (+1.9%) และ Gilead Sciences (+4.2%) ในขณะที่ Oracle (-6.9%) และ Newmont Goldcorp (-7.6%) ปรับตัวลงค่ะ
ทั้งนี้ ฤดูกาลประกาศผลประกอบการยังเป็นไปในเชิงบวกโดยรวม โดย 86% ของบริษัทในดัชนี S&P 500 รายงานผลที่ดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ ปัจจุบันนักวิเคราะห์คาดว่า กำไรไตรมาส 3 จะเติบโต 9.3% จากเดิมที่คาดไว้ 8.8% ตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคม อย่างไรก็ตาม ค่า P/E ของ S&P 500 ซึ่งอยู่ที่ราว 23 เท่า สูงที่สุดในรอบ 5 ปี ทำให้เกิดความกังวลเรื่องราคาที่อาจเกินมูลค่า และภาวะผู้นำตลาดที่กระจุกตัวในกลุ่มหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ค่ะ
อย่างไรก็ดี ความตื่นตัวเกี่ยวกับ AI ยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนหลักในตลาด โดยกลุ่ม “Magnificent Seven” ซึ่งตอนนี้คิดเป็นสัดส่วนถึง 36% ของมูลค่าตลาดทั้งหมดของ S&P 500 ได้รับแรงสนับสนุนจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่จากบริษัทอย่าง Taiwan Semiconductor ที่มีกำไรไตรมาสสูงสุดเป็นประวัติการณ์และปรับเพิ่มประมาณการการเติบโตปี 2025 โดยนักเศรษฐศาสตร์จาก UBS เตือนว่า แม้การลงทุนด้าน AI จะช่วยผลักดัน GDP ผ่านการใช้จ่ายด้านทุน แต่ก็อาจสร้างแรงกดดันต่อการใช้พลังงานและบดบังการเติบโตในภาคส่วนอื่นค่ะ
นอกจากนี้ นักวิเคราะห์จาก Macquarie เตือนว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ขณะนี้อยู่ในช่วงที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน มีความแข็งแกร่งแต่เปราะบาง สเปรดเครดิตยังคงแคบ แต่การเติบโตกลับกระจุกตัวและไวต่อความผันผวน ด้วยมูลค่าตลาดที่ปรับตัวสูงขึ้นและความผันผวนที่เริ่มกลับมา นักลงทุนจึงควรใช้ความระมัดระวัง โดยอาจเน้นลงทุนในระยะยาวกับเทคโนโลยีและการเติบโตที่มาจากการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตค่ะ
สำหรับสัปดาห์นี้ ตัวกระตุ้นสำคัญของตลาดมาจากผลประกอบการของ Tesla Netflix Procter & Gamble Coca-Cola RTX และ IBM รวมถึงรายงานเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ที่ออกมาล่าช้า ซึ่งจะมีผลต่อความคาดหวังในการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในวันที่ 28–29 ตุลาคม โดยตลาดคาดว่า Fed จะลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ท่ามกลางการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และความแข็งแกร่งที่แตกต่างกันในแต่ละภาคส่วนค่ะ
โดยสรุปแล้ว คุณน้ามองว่า S&P 500 ยังคงมีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ได้รับแรงหนุนจากการเติบโตของกำไรและการบริโภคที่ยืดหยุ่น อย่างไรก็ตาม ความกังวลเรื่องมูลค่าตลาดที่สูงและการกระจุกตัวของผู้นำตลาดเริ่มชัดเจนขึ้น นักลงทุนจึงควรเลือกลงทุนอย่างรอบคอบ โดยเน้นไปที่คุณภาพของสินทรัพย์และการกระจายความเสี่ยงค่ะ
บทวิเคราะห์ภาพรวมทางเทคนิคหุ้นสหรัฐ

ดัชนี US500 ยังคงรักษาแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่งไว้ได้ หลังสามารถทะลุแนวต้านสำคัญบริเวณ 6,600 จุดไปอย่างชัดเจน ขณะที่ RSI สะท้อนภาวะซื้อมากเกินไปในระดับปานกลาง ส่วน MACD ยังคงขยายตัวในเชิงบวก ซึ่งเป็นการยืนยันแนวโน้มขาขึ้น แม้ว่าในระยะสั้น ความชันเริ่มแสดงสัญญาณแผ่วลงเล็กน้อย ซึ่งอาจสะท้อนถึงความเป็นไปได้ของการเข้าสู่ช่วงพักฐานหรือเคลื่อนไหวในกรอบแคบ ก่อนที่จะเกิดการเบรกขึ้นในระยะถัดไปค่ะ
ด้านแนวต้านระยะสั้นอยู่ในกรอบ 6,720–6,750 จุด ซึ่งอาจมีแรงขายทำกำไรเกิดขึ้นในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม หากสามารถปิดรายวันเหนือระดับ 6,750 ได้อย่างมั่นคง ก็มีแนวโน้มที่จะเห็นการปรับตัวขึ้นต่อไปยังระดับ 6,820–6,900 จุด ส่วนแนวรับระยะสั้นอยู่ที่บริเวณ 6,600 จุด โดยมีฐานแนวรับถัดไปในกรอบ 6,520–6,480 จุด หากหลุดต่ำกว่า 6,480 จุด อาจเห็นการปรับฐานในระยะสั้นลงสู่บริเวณ 6,400 จุดได้ค่ะ
ทั้งนี้ แนวโน้มของปริมาณการซื้อขายยังคงอยู่ในทิศทางเชิงบวก โดยแรงซื้อที่เกิดขึ้นในช่วงที่ตลาดอ่อนตัว บ่งชี้ถึงการสะสมหุ้นจากนักลงทุนสถาบัน มากกว่าจะเป็นการขายทำกำไรในวงกว้าง โดยในภาพรวม ตราบใดที่ดัชนียังสามารถยืนเหนือระดับ 6,480 จุดได้ มุมมองในระยะกลางยังคงเป็นบวก และสัญญาณทางเทคนิคยังคงสนับสนุนโอกาสที่ดัชนีจะปรับตัวขึ้นต่อ โดยมีเป้าหมายถัดไปที่ระดับ 7,000 จุดภายในสิ้นปีนี้ค่ะ
อย่างไรก็ดี นักลงทุนควรจับตาดูความผันผวนระยะสั้นที่อาจเกิดขึ้นจากการประกาศผลประกอบการของบริษัท และข้อมูลเศรษฐกิจมหภาค ซึ่งอาจเป็นปัจจัยที่ทดสอบความแข็งแกร่งของการเบรกทะลุราคาในครั้งนี้ โดยสรุปแล้ว ดัชนี S&P 500 ยังคงแสดงสัญญาณทางเทคนิคในเชิงบวกอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการรักษาแนวโน้มขาขึ้น หรือแรงสนับสนุนจากความต้องการความเสี่ยงของตลาด ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยที่ชี้ว่า การอ่อนตัวของดัชนียังน่าจะเป็นโอกาสในการเข้าซื้อค่ะ
📍ข้อมูลประกอบการวิเคราะห์ทางเทคนิค (US 500/ S&P 500)
- แนวรับสำคัญ : 6571.4, 6526.1, 6452.8
- แนวต้านสำคัญ : 6718.0, 6763.3, 6836.6
ข่าวที่ส่งผลกระทบต่อแนวโน้มหุ้นสหรัฐ

ที่มา : Forexfactory
กำหนดการรายงานผลประกอบการ

ที่มา : TradingView
📍หุ้นสหรัฐที่น่าจับตามอง
- Apple Inc. (AAPL): ซื้อขายเหนือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 50 วัน และ 200 วัน ซึ่งแสดงถึงแนวโน้มขาขึ้นในระยะกลางที่กลับมาอีกครั้ง โมเมนตัมกำลังเพิ่มขึ้น โดย RSI ยังไม่ถึงระดับซื้อมากเกินไป ขณะที่แนวต้านสำคัญอยู่ที่ 260 ดอลลาร์ และ 268 ดอลลาร์ โดยแนวรับระยะสั้นอยู่บริเวณ 245 ดอลลาร์ และแนวรับลึกลงมาอยู่ที่ 238–240 ดอลลาร์ หากราคาปิดเหนือ 260 ดอลลาร์อย่างชัดเจนพร้อมปริมาณซื้อที่มาก อาจเปิดโอกาสให้ราคาปรับตัวขึ้นไปถึง 275 ดอลลาร์ แต่หากราคาหลุดต่ำกว่า 240 ดอลลาร์ อาจเกิดการปรับฐานลงสู่โซน 228–230 ดอลลาร์ได้ค่ะ
- Tesla Inc. (TSLA): กลับมามีโมเมนตัมบวกหลังจากกลับมายืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน ขณะที่ RSI และ MACD เป็นบวก แสดงถึงศักยภาพในการปรับขึ้นต่อไป แนวต้านระยะสั้นอยู่ที่ 450 ดอลลาร์ และ 488 ดอลลาร์ ในขณะที่แนวรับอยู่ที่ 415 ดอลลาร์ และบริเวณ 395–400 ดอลลาร์ หากราคาผ่าน 450 ดอลลาร์ไปได้ อาจดันราคาขึ้นไปถึง 485–490 ดอลลาร์ แต่หากไม่สามารถยืนเหนือ 410 ดอลลาร์ได้ อาจเกิดความผันผวนและกลับลงมาทดสอบระดับ 380 ดอลลาร์ได้ค่ะ
- Wells Fargo & Company (WFC): กำลังเคลื่อนไหวในช่วงปรับฐานเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 20 วัน และซื้อขายเหนือค่าเฉลี่ย 200 วันอย่างชัดเจน แสดงถึงความแข็งแกร่งในกลุ่มการเงิน ขณะที่ RSI สะท้อนถึงโมเมนตัมที่มั่นคงโดยไม่ถึงระดับซื้อมากเกินไป และปริมาณซื้อขายที่เพิ่มขึ้นบ่งชี้ถึงการสะสมหุ้นของสถาบัน โดยแนวต้านอยู่ที่ 85.50–86 ดอลลาร์ และแนวต้านระยะยาวที่ 90 ดอลลาร์ ส่วนแนวรับอยู่ที่ 80 ดอลลาร์ และ 77.50 ดอลลาร์ หากราคาทะลุแนวต้าน 85.50 ดอลลาร์ไปได้ อาจผลักดันราคาขึ้นไปถึง 89–90 ดอลลาร์ แต่หากไม่สามารถผ่านแนวต้านระดับนี้ไปได้ อาจนำไปสู่การเคลื่อนไหวในลักษณะทรงตัวเพื่อรอทิศทางใหม่ค่ะ
- Oracle Corporation (ORCL): ยังคงอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นที่มั่นคง โดยราคาซื้อขายอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ย 20 วัน และ 50 วัน ขณะที่ RSI บ่งชี้ถึงภาวะซื้อมากเกินไปในระยะสั้น จึงอาจมีโอกาสพักฐานในระยะสั้นได้ แนวต้านที่ต้องจับตาดู คือ 295 ดอลลาร์ และช่วง 305–310 ดอลลาร์ ขณะที่แนวรับอยู่ที่ 285 ดอลลาร์ และ 270 ดอลลาร์ หากสามารถทะลุแนวต้านบริเวณ 295–300 ดอลลาร์ได้ ก็อาจเปิดทางให้ราคาขึ้นไปสู่ 315–320 ดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม ระดับ 300 ดอลลาร์ยังอาจเป็นจุดที่ราคาพักฐานชั่วคราวก่อนจะปรับตัวขึ้นต่อได้ค่ะ
- Micron Technology, Inc. (MU): มีการปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง แต่เริ่มแสดงสัญญาณว่าราคาซื้อขายเกินความเหมาะสมเล็กน้อย โดย RSI อยู่ในช่วงภาวะซื้อมากเกินไป แม้ราคาจะยังคงซื้อขายเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 50 วัน และ 200 วัน ซึ่งสะท้อนแนวโน้มขาขึ้นระยะยาว โดยแนวต้านระยะสั้นอยู่ที่ 205 ดอลลาร์ และยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นไปถึง 212–215 ดอลลาร์ ส่วนแนวรับอยู่ที่ 192 ดอลลาร์ และ 178–180 ดอลลาร์ ซึ่งการปรับฐานสู่โซน 180–185 ดอลลาร์ อาจเป็นโอกาสที่ดีสำหรับการเข้าซื้อ หากความต้องการด้าน AI และหน่วยความจำยังแข็งแกร่ง โดยการปิดเหนือ 205–210 ดอลลาร์อย่างต่อเนื่อง อาจพา MU ขึ้นไปถึง 225 ดอลลาร์ แต่ยังคงมีความเสี่ยงที่จะถูกขายทำกำไรในระยะสั้นได้ค่ะ
🔍คุณน้าแนะนำเทรดหุ้น CFD ไปกับโบรกเกอร์ IUX

IUX มีการให้บริการซื้อขายหุ้น CFD ประกอบไปด้วยหุ้นกลุ่ม Magnificent Seven (M7) อีกทั้งยังมีหุ้นให้เลือกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Coca Cola, Adobe, Alibaba, McDonalds Incorporated และ Netflix เป็นต้น ทำให้เหมาะสำหรับเทรดเดอร์มือใหม่และเทรดเดอร์รายย่อยที่มีต้นทุนจำกัดแล้วต้องการซื้อขายหุ้นระดับโลก
สรุปคุยหุ้นสหรัฐและแนวโน้มในการลงทุน (US 500/ S&P 500)
จุดน่าเข้า Buy
- Buy/ Long 1 : หากมีการแตะแนวรับที่ช่วงราคา 6471.4 – 6571.4 แต่ไม่สามารถทะลุแนวรับที่ 6571.4 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 6754.8 และ SL ที่ประมาณ 6421.4 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
- Buy/ Long 2 : หากสามารถทะลุแนวต้านที่ช่วงราคา 6718.0 – 6818.0 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 6946.7 และ SL ที่ประมาณ 6521.4 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
จุดน่าเข้า Sell
- Sell/ Short 1 : หากมีการแตะแนวต้านที่ช่วงราคา 6718.0 – 6818.0 แต่ไม่สามารถทะลุแนวต้านที่ 6718.0 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 6562.9 และ SL ที่ประมาณ 6868.0 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
- Sell/ Short 2 : หากสามารถทะลุแนวรับที่ช่วงราคา 6471.4 – 6571.4 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 6371.0 และ SL ที่ประมาณ 6768.0 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
คำเตือน
บทวิเคราะห์นี้ใช้สำหรับการศึกษาข้อมูลของหุ้นสหรัฐเบื้องต้นเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลของสินทรัพย์และศึกษาความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องอย่างละเอียด ประกอบกับศึกษาแนวโน้มหุ้นและข่าวสหรัฐก่อนตัดสินใจลงทุน
สำหรับใครที่สนใจอ่านรีวิวโบรกเกอร์ : Review Brokers
บทความในเรื่องการลงทุนที่น่าสนใจ : Investing
คลังความรู้จากคุณน้า : Knowledge