ICT Forex คืออะไร? เจาะลึกเทคนิคเทรดของนักลงทุนรายใหญ่!

ICT Forex คืออะไร? เจาะลึกเทคนิคเทรดของนักลงทุนรายใหญ่
Table of Contents

กลยุทธ์การเทรด Forex ที่จะช่วยให้คุณฝึกคิดเหมือนกับนักลงทุนรายใหญ่ (Smart Money Concept) เพื่อให้คุณสามารถทำความเข้าใจโครงสร้างของตลาดได้อย่างแม่นยำมากขึ้น ซึ่งกลยุทธ์ที่คุณน้าจะพาทุกคนมาเจาะลึกในวันนี้ ก็คือ ICT Forex คืออะไรนั่นเองค่ะ ถ้าคุณไม่อยากตกรถ ห้ามพลาดบทความนี้ค่ะ!

*หมายเหตุ : บทความนี้เป็นเพียงบทความให้ความรู้เท่านั้น ไม่ได้เป็นการชักชวนเพื่อลงทุนแต่อย่างใด โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

ICT Forex คืออะไร?

ICT Forex ถูกย่อมาจากคำว่า The Inner Circle Trader คือ กลยุทธ์การเทรดที่ถูกพัฒนาโดย Michael J. Huddleston เทรดเดอร์ชื่อดังในแวดวง Forex ซึ่งแนวคิดของ Michael J. Huddleston จะแตกต่างจากกลยุทธ์การเทรดโดยทั่วไปค่ะ เพราะจะเน้นการวิเคราะห์โครงสร้างตลาด (Markets Structure) เพื่อใช้ในการคาดการณ์แนวโน้มของตลาด ซึ่งรวมไปถึงการกลับตัวของราคาที่มีความละเอียดมากขึ้น ด้วยการศึกษาพฤติกรรมของนักลงทุนรายใหญ่ (Smart Money Concept หรือ SMC) ซึ่งจะช่วยเพิ่มความแม่นยำในการเทรดให้มากขึ้นค่ะ


ICT กับ SMC ต่างกัน อย่างไร?

ICT Trading จะเป็นการวิเคราะห์ทางเทคนิคที่มีความซับซ้อนมากกว่ากลยุทธ์ Smart Money Concept หรือ SMC ค่ะ โดย ICT Trading พัฒนาแนวคิดมาจากกลยุทธ์ SMC ซึ่งจะเน้นไปที่ Liquidity และกรอบเวลา ในขณะที่ SMC จะเน้นไปที่ Liquidity หรือพฤติกรรมการเคลื่อนไหวของราคาของนักลงทุนรายใหญ่นั่นเองค่ะ


คำศัพท์ที่เกี่ยวกับ ICT Concept มีอะไรบ้าง?

ก่อนที่จะไปรู้จักกับเทคนิคที่น่าสนใจของ ICT Concept คุณน้าขอยกตัวอย่าง 7 คำศัพท์พื้นฐานที่มือใหม่ควรรู้ เพราะถือว่ามีความสำคัญต่อแนวคิดของ ICT Forex เป็นอย่างมากค่ะ ซึ่งคำศัพท์ที่เกี่ยวกับ ICT Forex มีรายละเอียด ดังนี้

คำศัพท์สำคัญที่เกี่ยวกับ ICT Forexความหมาย
Markets Structureโครงสร้างของตลาดที่บ่งชี้ถึงพฤติกรรมของผู้ซื้อและผู้ขาย ซึ่งจะสะท้อนออกมาในรูปแบบของกราฟราคา โดยจะช่วยให้เทรดเดอร์สามารถวิเคราะห์แนวโน้มของราคาได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
Order Flowการวิเคราะห์การซื้อขายของนักลงทุนรายใหญ่ โดยสังเกตจากปริมาณการซื้อขาย, การดำเนินคำสั่งซื้อขายแบบเรียลไทม์ หรือแม้แต่ Pending Order เป็นต้น
Market Manipulationการเก็งกำไรของผู้เล่นรายใหญ่ ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ผู้เล่นรายใหญ่มักจะพยายามให้ราคาสินทรัพย์มีการเปลี่ยนแปลงไปจากราคาที่ควรจะเป็น
Liquidity Voidบริเวณที่เกิดปริมาณการซื้อขายต่ำ เนื่องจากเป็นช่วงที่แรงเข้าซื้อหรือแรงเทขายหมดลง ทำให้เกิดเป็นช่องว่างของราคา ซึ่งเป็นช่วงที่ราคามีโอกาสกลับตัว
Swing High/Swing Lowจุดสูงสุดและจุดต่ำสุดของราคาในช่วงเวลาหนึ่ง
Breaker Blockระดับราคาที่จะเกิดขึ้นก็เมื่อ Order Block เดิมล้มเหลว ทำให้ราคาเกิดการรีเทสแล้วจากนั้น ราคาจะเด้งขไปในทิศทางตรงกันข้ามกับทิศทางเดิม
Liquidity Hunt / Stop Huntผู้เล่นรายใหญ่พยายามดันราคาให้เคลื่อนไหวไปใกล้กับบริเวณ Stop Loss ของนักลงทุนรายย่อย ก่อนจะเก็บออเดอร์เพื่อให้ราคาเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดิม ซึ่งส่งผลกระทบให้นักลงทุนรายย่อยมีโอกาสขาดทุนมากยิ่งขึ้น


เทคนิคสำคัญของกลยุทธ์ ICT Forex (ICT Concept) มีอะไรบ้าง?

กลยุทธ์สำคัญของ ICT Forex หรือที่เรียกกันว่า ICT Concept มีหลายเทคนิคที่น่าสนใจค่ะ ซึ่งคุณน้าจะขอยกตัวอย่าง 4 เทคนิคยอดนิยม ได้แก่ Fair Value Gap (FVG), Order Block, Pivot Point และ Killzone เพื่อช่วยให้คุณสามารถทำความเข้าใจกลยุทธ์ รวมไปถึงวิธีการสังเกตที่มีความละเอียดและแม่นยำมากยิ่งขึ้น เพื่อเพิ่มโอกาสในการซื้อขาย โดยมีรายละเอียด ดังนี้ค่ะ

ICT Concepts : Fair Value Gap (FVG)

Fair Value Gap (FVG) คือ ความไม่สมดุลระหว่างแรงซื้อและแรงขาย จนทำให้เกิดเป็นช่องว่างของราคา ซึ่งปกติแล้ว เมื่อตลาดเกิดความผันผวนอย่างรุนแรง จะส่งผลให้เกิดความเคลื่อนไหวของราคาอย่างฉับพลัน ซึ่งถือเป็นเรื่องยากในการหาจุดเข้าเทรด

แต่เทคนิค Fair Value Gap (FVG) สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ เพราะตามธรรมชาติของตลาดมักจะพยายามกลับเข้ามาเติมเต็ม “ช่องว่างของความไม่สมดุล” เพื่อปรับสมดุลของราคาอีกครั้ง ดังนั้น เทรดเดอร์จะใช้โอกาสนี้ในการหาจังหวะในการทำกำไรนั่นเองค่ะ

วิธีการสังเกต Fair Value Gap (FVG)

สำหรับวิธีการสังเกต Fair Value Gap (FVG) จะประกอบไปด้วยแท่งเทียน 3 แท่งเรียงต่อกัน และมักจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกัน โดยมีรายละเอียด ดังนี้

  • ไส้เทียนแท่งที่ 1 จะไม่ทับซ้อนกับไส้เทียนแท่งที่ 3 ทำให้เกิดเป็นช่องว่างของราคาหรือที่เรียกว่า FVG Zone
  • แท่งเทียนที่ 2 จะมีขนาดใหญ่กว่าแท่งเทียนอีก 2 แท่ง แสดงให้เห็นถึงความไม่สมดุล (Imbalance) ของราคาที่เกิดแรงซื้อและแรงขายจำนวนมาก
  • แท่งเทียนที่ 3 จะมีขนาดเล็กกว่าแท่งเทียนที่ 2 อย่างชัดเจนและทิ้งไส้เทียนเล็กน้อย

วิธีการทำกำไรด้วย Fair Value Gap (FVG)

1. รอการยืนยันสัญญาณ

และเพื่อเป็นการยืนยันแนวโน้มของราคาว่าอยู่ในทิศทางเดิมหรือไม่นั้น เทรดเดอร์ควรเทรดตามแนวโน้ม และอย่าเทรดสวนแนวโน้มเด็ดขาด เพราะอาจจะเสี่ยงพอร์ตการลงทุนแตกมากกว่าการทำกำไร

2. ใช้เครื่องมือทางเทคนิคอื่นเพิ่มเติม

Fair Value Gap (FVG) สามารถเพิ่มความแม่นยำในการเทรด ซึ่งสามารถใช้ Time Frame ขนาดใหญ่ในการยืนยันสัญญาณ หรือใช้ FVG ร่วมกับเครื่องมือทางเทคนิคอื่น ๆ เช่น Price Action หรือ Liquidity Grab เป็นต้น

3. หาจุดเข้าเทรด

เทรดเดอร์ควรรอสัญญาณให้ราคากลับมาแตะ FVG Zone อีกครั้ง เพื่อระบุโซนของราคาที่สมดุลก่อนหรือ BRP ก็คือ โซนที่ราคาจะเกิดการกลับตัวก่อน จึงเริ่มเข้าเทรดค่ะ

4. ตั้ง Stop Loss เสมอ

หากแนวโน้มอยู่ในช่วงขาลง ควรตั้ง Stop Loss ไว้เหนือ FVG แต่หากแนวโน้มอยู่ในช่วงขาขึ้น ควรตั้ง Stop Loss ไว้ใต้ FVG เพื่อป้องกันการขาดทุนที่เกิดขึ้นได้

5. ตั้ง Take Profit เสมอ

เมื่อมีการบริหารความเสี่ยงในการขาดทุนแล้ว เทรดเดอร์ควรตั้ง Take Profit เพื่อกำหนดจุดทำกำไรที่สมเหตุสมผล เพื่อบริหารความเสี่ยงในการทำกำไรนั่นเอง ซึ่งการตั้งจุดทำกำไรอาจจะพิจารณาจากแนวรับ-แนวต้านสำคัญ


ICT Concepts : Order Block

มาต่อกันที่กลยุทธ์ ICT Forex ลำดับต่อไป ก็คือ Order Block (OB) คือ การสะสมปริมาณการซื้อขายของนักลงทุนรายใหญ่หรือนักลงทุนสถาบันเป็นจำนวนมาก เพื่อดันราคาขึ้นหรือราคาลงอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้ราคาเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง ซึ่งส่งผลให้ราคามีโอกาสกลับตัวสูงค่ะ

วิธีการสังเกต Order Block (OB)

วิธีการสังเกต Order Block (OB)

จากที่กล่าวไปข้างต้น จะเห็นได้ว่า Order Block (OB) คือการสะสมปริมาณการซื้อขายเป็นจำนวนมาก สำหรับวิธีการสังเกต Order Block (OB) แบบง่าย ๆ มีรายละเอียด ดังนี้

  • กราฟแท่งเทียนสุดท้าย ก่อนเปลี่ยนแนวโน้มจะมีขนาดใหญ่ผิดปกติ ซึ่งจะมีขนาดใหญ่กว่าแท่งเทียนก่อนหน้า และเกิดการสวนแนวโน้มเดิม จากนั้น แท่งเทียนแท่งต่อไปจะเกิดการพักตัวเล็กน้อย ก่อนที่จะเคลื่อนไหวไปในแนวโน้มใหม่
  • ไส้เทียนจะมีขนาดยาวอย่างชัดเจน เพราะการทิ้งไส้เทียนบริเวณ Order Block จะมีขนาดยาวอย่างชัดเจน

สังเกตการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มของ Order Block : ในช่วงที่เกิด Order Block จะเกิดในจุดที่มีการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มอย่างชัดเจน เช่น การเปลี่ยนแปลงแนวโน้มขาลงเป็นขาขึ้น ซึ่งสังเกตได้จากการทำ Higher High และ Lower Low โดยราคาต้องทะลุแนวโครงสร้างเดิมของตลาด (BOS) อย่างชัดเจน

วิธีการทำกำไรด้วย Order Block (OB)

คุณน้าขอแนะนำวิธีการทำกำไรด้วย Order Block (OB) โดยมีรายละเอียด ดังนี้

1. รอราคาขึ้นมาทดสอบ Order Block และเกิดการกลับตัว

ให้รอสัญญาณทดสอบแนวโน้ม โดยสังเกตจากการเคลื่อนไหวของราคาที่ขึ้นมาทดสอบ Order Block เพื่อดูว่าราคาจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดิมหรือเกิดการกลับตัว

2. จุดเข้าเทรด

รอให้ราคากลับมายังบริเวณ Order Block ก่อนค่อยหาจุดเข้าเทรด โดยสังเกตปริมาณการซื้อขายและวิเคราะห์โครงสร้างของตลาด (Market Structure) ควบคู่ไปกับเครื่องมือทางเทคนิคชนิดอื่น ไม่ว่าจะเป็น FVG, Price Action หรือ Pin Bar เพื่อหลีกเลี่ยงสัญญาณหลอกค่ะ

3. วิเคราะห์ไทม์เฟรมขนาดใหญ่ในการช่วยกรอง

Order Block สามารถวิเคราะห์ด้วยการใช้ไทม์เฟรมขนาดใหญ่ (1 ชั่วโมงไปจนถึง 1 วัน ) เพื่อหาแนวโน้มที่ชัดเจน

4. ตั้ง Stop Loss เสมอ

หากราคาอยู่ในแนวโน้มขาลง (Bearish Order Block) ให้ตั้ง Stop Loss ไว้เหนือจุดสูงสุด (High) เล็กน้อย แต่หากราคาอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น (Bullish Order Block) ให้ตั้ง Stop Loss ไว้ต่ำกว่าจุดต่ำสุด (Low) เล็กน้อย

5. ตั้ง Take Profit เสมอ

เทรดเดอร์ควรตั้ง Take Profit เพื่อกำหนดจุดทำกำไรที่สมเหตุสมผล เพื่อบริหารความเสี่ยงในการทำกำไรนั่นเอง ซึ่งการตั้งจุดทำกำไรอาจจะพิจารณาจากแนวรับ-แนวต้านสำคัญหรือใช้เครื่องมือ Fibonacci Extension ช่วย

🎯คุณน้าแนะนำ : โดยปกติแล้ว Order Block มักจะใช้ควบคู่ไปกับเครื่องมือทางเทคนิคชนิดอื่นโดยเฉพาะกับ Fair Value Gap (FVG) เนื่องจาก Order Block จะทำหน้าที่เป็นแนวรับ-แนวต้าน ซึ่งการใช้ Order Block เพียงเครื่องมือเดียวจะไม่สามารถวิเคราะห์การเปิดปิดออเดอร์ได้อย่างแม่นยำ


ICT Concepts : Pivot Point

Pivot Point คือ เครื่องมือที่ช่วยหาแนวรับ-แนวต้าน เพื่อยืนยันแนวโน้มและช่วยระบุจุดกลับตัวของราคาที่น่าสนใจค่ะ โดย Pivot Point จะมีสูตรการคำนวณที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นสูตร Classic, Fibonacci, Woodie  หรือ Camarilla ซึ่งแต่ละสูตรจะมีวิธีการคำนวณต่างกันนั่นเอง

สำหรับสูตรการคำนวณที่ได้รับความนิยมก็คือ สูตร Classic เนื่องจากใช้งานง่ายและไม่ซับซ้อนจนเกินไป และที่สำคัญก็คือ แพลตฟอร์มในการเทรดส่วนใหญ่มักจะกำหนดสูตร Classic เป็นการตั้งค่าเริ่มต้นค่ะ

💡Tip : การคำนวณสูตร Classic ของ Pivot Point จะคำนวณจากราคาสูงสุด (High), ราคาต่ำสุด (Low) และราคาปิดของช่วงเวลาหรือวันก่อนหน้าค่ะ

วิธีการสังเกต Pivot Point

วิธีการสังเกต Pivot Point จากสูตร Classic จะประกอบไปด้วย 5 ระดับ ได้แก่ ระดับ Pivot Point (PP), แนวรับสำคัญ (S1 และ S2) และแนวต้านสำคัญ (R1 และ R2)  โดยมีวิธีการสังเกต ดังนี้ค่ะ

  • หากราคาเคลื่อนไหวอยู่ระหว่างระดับ R1 และ S1 นั่นแสดงให้เห็นว่าราคาอยู่ในแนวโน้มที่ไม่ชัดเจน (Sideway)
  • หากราคาอยู่เหนือระดับ PP (เส้นกลาง) และเคลื่อนไหวในระดับ R1 หรือ R2 นั่นแสดงให้เห็นว่าราคาอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น
  • หารกราคาอยู่ต่ำกว่าระดับ PP (เส้นกลาง) และเคลื่อนไหวในระดับ S1 หรือ S2 นั่นแสดงให้เห็นว่าราคาอยู่ในแนวโน้มขาลง

วิธีการทำกำไรด้วย Pivot Point

การเพิ่มโอกาสในการกำไรด้วย Pivot Point สามารถทำได้ทั้งแนวโน้มขาขึ้นและขาลงค่ะ โดยมีรายละเอียด ดังนี้

1. หาจุดเข้าเทรดด้วย PP

เมื่อราคาเคลื่อนไหวเหนือระดับ PP และเคลื่อนไหวเข้าใกล้ R1 หรือ R2 ให้รอสัญญาณจากเครื่องมือชนิดอื่น ไม่ว่าจะเป็น Price Action หรืออินดิเคเตอร์ เพื่อยืนยันแนวโน้ม และหากราคาสามารถทะลุ R2 ขึ้นไปได้มีโอกาสที่ราคาจะอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น ดังนั้น คุณน้าแนะนำการเปิด Order Buy

ในขณะที่หากราคาเคลื่อนไหวต่ำกว่าระดับ PP และเคลื่อนไหวเข้าใกล้ S1 หรือ S2 ให้รอสัญญาณจากเครื่องมือชนิดอื่น ไม่ว่าจะเป็น Price Action หรืออินดิเคเตอร์ เพื่อยืนยันแนวโน้ม และหากราคาสามารถทะลุ S2 ลงไปได้มีโอกาสที่ราคาจะอยู่ในแนวโน้มขาลง ดังนั้น คุณน้าแนะนำการเปิด Order Sell

ข้อสังเกต : มีโอกาสที่ราคาจะเคลื่อนไหวเข้าใกล้ R1 หรือ R2 แล้วเกิดการกลับตัวจากแนวโน้มขาขึ้นเป็นขาลง และมีโอกาสที่ราคาจะเคลื่อนไหวเข้าใกล้ S1 หรือ S2 แล้วเกิดการดีดตัวขึ้นไปจากแนวโน้มขาลงเป็นขาขึ้นก็ได้ เพราะขึ้นอยู่กับแรงเข้าซื้อและแรงเทขาย ดังนั้น รอสัญญาณจากเครื่องมือชนิดอื่น เพื่อยืนยันแนวโน้มจะเพิ่มความแม่นยำมากกว่าค่ะ

2. ตั้ง Stop Loss เสมอ

หากเปิด Order Sell ใกล้ระดับ R2 ควรตั้ง Stop Loss ไว้เหนือระดับ R2 แต่หากเปิด Order Buy ใกล้ระดับ S2 ควรตั้ง Stop Loss ไว้ต่ำกว่าระดับ S2 เพื่อป้องกันการเกิดสัญญาณหลอกค่ะ

3. ตั้ง Take Profit เสมอ

หากเปิด Order Sell ใกล้ R2 ควรตั้ง Take Profit บริเวณระดับ R1 หรือ PP เพื่อเพิ่มโอกาสในการกำไร เมื่อราคามีการย่อตัวลงมา ในขณะที่หากเปิด Order Buy ใกล้ระดับ S2 ควรตั้ง Take Profit บริเวณ S1 หรือ PP เพื่อเพิ่มโอกาสในการกำไร เมื่อราคาดีดตัวขึ้นไป

สำหรับการใช้ Pivot Point ควรพิจารณาควบคู่ไปกับแนวโน้มในขณะนั้น และควรใช้เครื่องมือทางเทคนิคอื่น เพื่อช่วยยืนยันแนวโน้ม ไม่ว่าจะเป็น Price Action และ Moving Average Indicator เป็นต้น


ICT Concepts : Killzone

Killzone คือ ช่วงเวลาที่ตลาดมีปริมาณการซื้อขายและมีสภาพคล่องสูง จนทำให้ราคาเกิดความผันผวนอย่างรุนแรงนั่นเองค่ะ โดยปกติแล้ว Kill Zone จะแบ่งออกเป็น 4 โซนหลัก ได้แก่ Asian Range (Killzone), London Open (Killzone), New York Open (Kill Zone) และ London Close (Killzone)  ซึ่งแต่ละโซนจะมีจังหวะในการทำกำไรที่แตกต่างกันออกไปค่ะ

วิธีการสังเกต Killzone

Killzone จะมีวิธีการสังเกตต่างกันออกไปตามแต่ละโซนที่เทรดเดอร์ให้ความสนใจ โดยจะมีวิธีการสังเกตพฤติกรรมของราคาและปริมาณการซื้อขาย รวมถึงสภาพคล่อง ดังนี้

Asian Range (Killzone) : เป็นช่วงเปิดทำการของตลาดเอเชีย ซึ่งมีปริมาณการซื้อขายต่ำ ส่งผลให้ความผันผวนต่ำไปด้วย โดยเวลาของตลาดเอเชียอยู่ที่ 07:00 น. – 09:00 น. เวลาไทยและนับแบบออมแสง

London Open (Killzone) : เป็นช่วงเปิดทำการของตลาดลอนดอน ซึ่งมีปริมาณการซื้อขายจากนักลงทุนรายใหญ่และนักลงทุนสถาบันค่อนข้างสูง สำหรับเวลาของตลาดลอนดอนอยู่ที่ 13:00 น. – 16:00 น. เวลาไทยและนับแบบออมแสง

New York Open (Kill Zone) : เป็นช่วงเปิดทำการของตลาดนิวยอร์ก ซึ่งมีความคาบเกี่ยวกับตลาดลอนดอน ทำให้มีปริมาณการซื้อขายและมีสภาพคล่องสูงที่สุด เรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาทองของเหล่าเทรดเดอร์เลยก็ว่าได้ค่ะ เพราะเป็นช่วงเวลาที่มีการประกาศข่าวสารสำคัญ ทำให้โซนนี้ได้รับความนิยมจากเทรดเดอร์เป็นอย่างมาก ซึ่งเวลาของตลาดนิวยอร์กจะอยู่ที่ 19:00 น. – 22:00 น. เวลาไทยและนับแบบออมแสง

London Close (Killzone) : เป็นช่วงเวลาคาบเกี่ยวก่อนที่ตลาดนิวยอร์กจะปิดทำการ ทำให้ความผันผวนลดลง ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เทรดเดอร์ไม่นิยมเทรด เพราะมีโอกาสในการทำกำไรต่ำ ซึ่งเวลาที่ตลาดปิดทำการอยู่ที่ 20:00-21:00 น. เวลาไทยและนับแบบออมแสง

วิธีการทำกำไรด้วย Killzone

วิธีการทำกำไรด้วย Killzone มีรายละเอียด ดังนี้

1. Asia Range (Killzone)

เทรดเดอร์ควรเน้นการเก็งกำไรระยะสั้น โดยหลีกเลี่ยงการเทรดด้วยปริมาณการซื้อขายจำนวนมาก เพราะอาจนำไปสู่สภาพคล่องที่จำกัดได้ค่ะ สำหรับสกุลเงินที่คุณน้าแนะนำ ได้แก่ สกุลเงิน AUD, NZD และ JPY ค่ะ

2. London Open (Killzone)

เทรดเดอร์ควรศึกษาปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยทางเทคนิคให้แม่นยำ ซึ่งควรตั้งค่า Key Zone ก็คือ Silver Bullet หรือการเทรดตามแนวรับ-แนวต้านที่กำหนดไว้ โดยเป็นการเทรดในช่วงเวลาสั้น  ๆ โดยจะเน้นเทรดในช่วงเวลาที่ตลาดมีปริมาณการซื้อขายและมีสภาพคล่องสูงที่สุดในช่วงเวลา 1 ชั่วโมง สำหรับสกุลเงินที่คุณน้าแนะนำ ได้แก่ สกุลเงิน EUR และ GBP

3. New York Open (Kill Zone)

เทรดเดอร์ควรวิเคราะห์จุดเทรดสูงสุดและต่ำสุดของตลาดลอนดอน เพื่อคาดการณ์แนวโน้มของราคาอย่างต่อเนื่อง โดยศึกษาข่าวสารสำคัญในช่วงเวลานี้ควบคู่ไปด้วย เพราะจะช่วยให้เทรดเดอร์สามารถยืนยันแนวโน้มของราคาได้ อีกทั้งยังช่วยหาจุดเข้าซื้อขายที่เหมาะสมได้มากยิ่งขึ้นค่ะ

4. London Close (Killzone)

เทรดเดอร์ควรทำกำไรในกรอบเวลาสั้น ๆ เช่น กรอบเวลา 5 นาที เพราะเป็นช่วงเวลาที่มีโอกาสในการทำกำไรต่ำนั่นเองค่ะ


ข้อควรระวังของ ICT Trading

ข้อควรระวังของ ICT Trading คือ เป็นกลยุทธ์ที่มีวิธีคิดที่ซับซ้อนและจำเป็นต้องอาศัยประสบการณ์ในการเทรดเป็นอย่างมาก เพราะเทรดเดอร์ต้องมองภาพรวมของตลาดได้อย่างถ่องแท้นั่นเองค่ะ


คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ ICT Forex หรือ ICT Trading

ICT Concept มีอะไรบ้าง?

ICT Concept มีหลายแนวคิด ไม่ว่าจะเป็น Markets Structure, Order Flow, Market Manipulation และ Breaker Block เป็นต้น

Inner Circle Trader คืออะไร?

Inner Circle Trader คือ การศึกษาพฤติกรรมการซื้อขายของนักลงทุนรายใหญ่ (SMC) เพื่อจับจังหวะในการซื้อขายให้สอดคล้องกับทิศทางของนักลงทุนรายใหญ่ โดย Inner Circle Trader จะช่วยให้เทรดเดอร์รายย่อยสามารถทำความเข้าใจกลยุทธ์ของนักลงทุนรายใหญ่ได้อย่างแม่นยำมากยิ่งขึ้น

SMC คืออะไร?

SMC ย่อมาจาก Smart Money Concept ก็คือ พฤติกรรมการเทรดของเหล่าเทรดเดอร์รายใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นสถาบันการเงิน, ธนาคาร, นักเก็งกำไร และกองทุนรายใหญ่ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความผันผวนของราคาอย่างรุนแรง


สรุป ICT Forex คืออะไร

ทั้งหมดนี้ ก็คือ ICT Forex หรือกลยุทธ์การเทรด Forex โดยการศึกษาพฤติกรรมของผู้เล่นรายใหญ่ (SMC) ซึ่งจะช่วยให้เทรดเดอร์รายย่อยสามารถเข้าใจพฤติกรรมของตลาดได้ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น ทำให้กลยุทธ์นี้ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากค่ะ

อย่างไรก็ดี การวิเคราะห์ ICT Forex จำเป็นต้องอาศัยประสบการณ์ในการเทรดเป็นอย่างมาก เพราะบางแนวคิดมีขั้นตอนที่ค่อนข้างยุ่งยากและความซับซ้อน ทำให้ไม่เหมาะกับเทรดเดอร์มือใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้นเทรดค่ะ


สำหรับใครที่สนใจอ่านรีวิวโบรกเกอร์ : Review Brokers

บทความในเรื่องการลงทุนที่น่าสนใจ : Investing

คลังความรู้จากคุณน้า : Knowledge

Picture of khunnaphatrade
khunnaphatrade
Recent Post
ICT Forex คืออะไร? เจาะลึกเทคนิคเทรดของนักลงทุนรายใหญ่
ICT Forex คืออะไร? เจาะลึกเทคนิคเทรดของนักลงทุนรายใหญ่!

ICT Forex คือ กลยุทธ์การเทรด Forex ที่จะช่วยให้คุณฝึกคิดเหมือนกับนักลงทุนรายใหญ่ (Smart Money Concept) เพื่อเข้าใจโครงสร้างของตลาดได้อย่างแม่นยำมากขึ้น

วิเคราะห์ GBPUSD ดูแนวโน้มราคาล่าสุด วันที่ 2 ตุลาคม 2025
วิเคราะห์ GBPUSD ดูแนวโน้มราคาล่าสุด วันที่ 2 ตุลาคม 2025

พบกับวิเคราะห์ GBPUSD ที่สายเทรดสั้นห้ามพลาด การวิเคราะห์คู่เงิน Forex ดูแนวโน้มราคาล่าสุด สำหรับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยทางเทคนิค

บทวิเคราะห์คู่เงิน AUDUSD 1 ตุลาคม 2025
บทวิเคราะห์ AUDUSD วันที่ 1 ตุลาคม 2025

พบกับวิเคราะห์ AUDUSD ที่สายเทรดสั้นห้ามพลาด การวิเคราะห์คู่เงิน Forex ดูแนวโน้มราคาล่าสุด สำหรับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยทางเทคนิค

วิเคราะห์ USDJPY ดูแนวโน้มราคาล่าสุด วันที่ 1 ตุลาคม 2025
วิเคราะห์ USDJPY ดูแนวโน้มราคาล่าสุด วันที่ 1 ตุลาคม 2025

พบกับวิเคราะห์ USDJPY ที่สายเทรดสั้นห้ามพลาด การวิเคราะห์คู่เงิน Forex ดูแนวโน้มราคาล่าสุด สำหรับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยทางเทคนิค

ทางเว็บไซต์ คุณน้าพาเทรด
ได้มีการใช้คุกกี้เพื่อช่วยปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพให้เว็บไซต์ของเราดียิ่งขึ้น


Privacy Policy