หุ้นสหรัฐถือเป็นหุ้นที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก ซึ่งการเคลื่อนไหวของหุ้นสหรัฐเพียงหนึ่งครั้งก็สามารถส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นอื่น ๆ ทั่วโลก ดังนั้น ในบทความนี้เราจะมาคุยหุ้น เจาะลึกปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยทางเทคนิคที่ส่งผลต่อตลาดหุ้นสหรัฐ รวมถึงความเสี่ยงและมุมมองในการลงทุน สายวิเคราะห์หุ้นสหรัฐห้ามพลาดบทความนี้!
คุยหุ้นสหรัฐวันนี้ (US30 / DJIA)
บทวิเคราะห์ภาพรวมปัจจัยพื้นฐานหุ้นสหรัฐ
ตลาดวอลล์สตรีทปิดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยดีดตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งในวันศุกร์ นำโดยการปรับตัวขึ้นแรงของดัชนีดาวโจนส์ (DJIA) หลังจากความคาดหวังต่อการปรับลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในเดือนธันวาคมเริ่มเพิ่มสูงขึ้น แม้ตลาดจะผันผวนจากความกังวลเกี่ยวกับมูลค่าหุ้นเทคโนโลยีที่ดูตึงตัวเกินไป และแรงขายในตลาดหุ้นต่างประเทศ แต่บรรยากาศก็เปลี่ยนไปหลังจากประธาน Fed นิวยอร์ก จอห์น วิลเลียมส์ ส่งสัญญาณว่า “มีพื้นที่สำหรับการผ่อนคลายนโยบายเพิ่มเติม” ค่ะ ส่งผลให้ความน่าจะเป็นในการลดดอกเบี้ยเดือนธันวาคมดีดจากราว 30% ขึ้นมาเกิน 70% ช่วยกลบความกังวลที่เกิดจากตัวเลขการจ้างงานที่แข็งแกร่งเมื่อต้นสัปดาห์ ท่ามกลางอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ที่ปรับตัวลง ค่าเงินดอลลาร์ทรงตัว และแรงซื้อที่กระจายไปทั่วในหลายกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มเฮลท์แคร์ วัสดุพื้นฐาน และการบริการผู้บริโภคค่ะ
ทั้งนี้ ภายในดัชนีดาวโจนส์ หุ้นที่ช่วยหนุนดัชนีมากที่สุด คือ Home Depot (+3.29%) จากสัญญาณการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่ยังแข็งแรง ตามด้วย Merck (+2.94%) และ Sherwin-Williams (+2.76%) ที่สะท้อนความแข็งแกร่งของหุ้นเชิงป้องกันและความต้องการในอุตสาหกรรมค่ะ ส่วนด้านที่กดดันดัชนีมาจากหุ้นอย่าง Walmart (-1.66%), Microsoft (-1.29%) และ Nvidia (-0.96%) โดยบรรยากาศในกลุ่มเทคโนโลยียังดูเปราะบางอยู่ เพราะนักลงทุนยังคงตั้งคำถามกันอยู่ว่ามูลค่าหุ้นกลุ่ม AI ตอนนี้อาจจะสูงเกินจริงไปแล้วหรือไม่
อย่างไรก็ดี หุ้นเทคโนโลยียังคงเป็นศูนย์กลางของจิตวิทยาตลาดค่ะ Nvidia แม้ประกาศผลประกอบการจะออกมายอดเยี่ยม แต่แรงซื้อก็แผ่วลงอย่างรวดเร็ว เพราะนักลงทุนเริ่มตั้งคำถามว่าอุปสงค์ด้าน AI จะสูงพอรองรับมูลค่าหุ้นปัจจุบันหรือไม่ มีรายงานว่าสหรัฐฯ อาจพิจารณาผ่อนปรนข้อจำกัดในการขายชิป H200 ให้จีน ซึ่งช่วยกระตุ้นบรรยากาศได้ชั่วคราว ท่ามกลางความผันผวนที่ยังคงอยู่ อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์มองว่าหุ้นยังมีอัพไซด์ในระยะยาวจากราคาชิปเจเนอเรชันใหม่ที่สูงขึ้น และบทบาทผู้นำด้าน AI ที่ยังแข็งแกร่งค่ะ
ในขณะเดียวกัน Alphabet ก็เป็นหนึ่งในหุ้นเมกะแคปที่โดดเด่นที่สุดของสัปดาห์ พุ่งขึ้นกว่า 10% หลัง Berkshire Hathaway เปิดเผยการเข้าซื้อหุ้นมูลค่า 4.3 พันล้านดอลลาร์ พร้อมแรงเชื่อมั่นใหม่ของนักวิเคราะห์ต่อทิศทาง AI ของ Google ค่ะ
นอกเหนือจากกลุ่มเมกะแคป ยังมีหุ้นรายตัวที่เคลื่อนไหวโดดเด่นอีกหลายตัวค่ะ Oracle ร่วงกว่า 6% จากความกังวลว่าการลงทุนด้าน AI ที่หนักหน่วงจะทำให้มีการสร้างศูนย์ข้อมูลมากเกินความจำเป็น และบริษัทอาจต้องก่อหนี้เพิ่มจำนวนมาก ในขณะเดียวกัน กลุ่มค้าปลีกมีผลงานหลากหลาย Ross Stores พุ่งทำจุดสูงสุดใหม่จากผลประกอบการแข็งแกร่งและดีมานด์ช่วงเปิดเทอม ส่วน Gap ดีดขึ้นจากยอดขายสาขาเดิมที่ดีกว่าคาด ในทางกลับกัน Bath & Body Works ดิ่งเกือบ 30% จากกำไรที่น่าผิดหวังและแนวโน้มอ่อนแอค่ะ ในขณะที่ Exact Sciences พุ่งกว่า 50% จากดีลควบรวมกิจการ หลัง Abbott ยืนยันเข้าซื้อกิจการมูลค่า 23,000 ล้านดอลลาร์ค่ะ
อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์จาก UBS และ Capital Economics มองว่า แม้มูลค่าหุ้น โดยเฉพาะในตลาดสหรัฐฯ จะอยู่ในระดับสูง แต่ก็ยังไม่ถึงจุดที่บ่งชี้ว่าจะต้องเกิดการปรับฐานโดยอัตโนมัติค่ะ และแม้ว่าผลิตภาพที่ได้จากการนำ AI มาใช้ในกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศจะเริ่มเห็นผลชัดเจน แต่ประโยชน์เหล่านี้ก็ยังไม่ได้ส่งต่อไปสู่เศรษฐกิจในภาพรวมมากนัก ในขณะเดียวกัน ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่เกี่ยวกับชิป AI โครงสร้างพื้นฐานพลังงาน และทิศทางกฎระเบียบ โดยเฉพาะกฎหมาย AI ระดับรัฐ ก็ยิ่งทำให้บรรยากาศการลงทุนเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนมากขึ้นค่ะ
ทั้งนี้ ในภาพรวมพื้นฐาน ดาวโจนส์เริ่มมีสัญญาณแข็งแกร่งขึ้นในระยะสั้น ซึ่งช่วยหนุนหุ้นวัฏจักรและหุ้นที่ไวต่อเศรษฐกิจ เช่น Home Depot Sherwin-Williams และ Merck ในขณะที่การลดลงของบอนด์ยีลด์และค่าเงินที่นิ่งขึ้นก็ช่วยสนับสนุนสินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้นขนาดใหญ่ค่ะ
อย่างไรก็ตาม ความท้าทายของดาวโจนส์ยังคงมีอยู่ค่ะ โดยเฉพาะมูลค่าหุ้นกลุ่มเติบโตและเทคโนโลยีที่ค่อนข้างสูง ทำให้ตลาดไวต่อข้อมูลเศรษฐกิจที่ผิดคาดหรือสัญญาณนโยบายการเงินที่ไม่ชัดเจน อีกทั้งบริษัทที่เกี่ยวข้องกับ AI อย่าง Nvidia ยังคงอยู่ภายใต้การตรวจสอบเข้มข้น ทำให้ความเสี่ยงที่ดีมานด์ AI ชะลอ หรือมีปัญหาด้านกฎระเบียบและภูมิรัฐศาสตร์ สามารถฉุดดัชนีได้ง่าย นอกจากนี้ ด้วยมูลค่าที่สูงและผลประกอบการของหลายบริษัทที่ออกมาดีมากแล้ว โอกาสขาขึ้นอาจจำกัด ขณะที่ความเสี่ยงด้านขาลงยังเปิดกว้างค่ะ
โดยสรุปแล้ว แม้ดาวโจนส์จะมีแรงหนุนจากความหวังลดดอกเบี้ยและผลประกอบการที่แข็งแกร่งในกลุ่มวัฏจักร แต่ก็มีความเสี่ยงจากมูลค่าที่สูง บรรยากาศนักลงทุนกลุ่มเทคโนโลยีที่ยังเปราะบางและความไม่แน่นอนด้านนโยบายค่ะ ผลการเคลื่อนไหวระยะสั้นของดัชนีจึงน่าจะขึ้นอยู่กับตัวเลขเศรษฐกิจและผลประกอบการที่จะประกาศต่อจากนี้ว่าจะช่วยยืนยันความคาดหวังของตลาดหรือทำให้ต้องประเมินความเสี่ยงใหม่อีกครั้งค่ะ
บทวิเคราะห์ภาพรวมทางเทคนิคหุ้นสหรัฐ

ดัชนี US30 อยู่ในจุดหมุนสำคัญของแนวโน้มระยะสั้นในตอนนี้ค่ะ ซึ่งขึ้นอยู่กับว่าแนวรับบริเวณ 46100–46200 จะประคองไว้ได้หรือไม่ หากฝั่งซื้อยังสามารถป้องกันโซนนี้ได้ดี และโมเมนตัมเริ่มฟื้นตัว คุณน้ามองว่าดัชนีมีโอกาสดีดกลับขึ้นไปได้อีกระลอก และอาจกลับขึ้นไปทดสอบโซน 46900–47000 อีกครั้งค่ะ และหากยืนเหนือ 46600 ได้อย่างมั่นคง จะเป็นสัญญาณเชิงบวกที่ชัดเจน และเปิดทางให้ราคาไต่ขึ้นต่อไปสู่บริเวณ 47500 ได้ค่ะ
ทั้งนี้ หากดัชนีไม่สามารถสร้างโมเมนตัมที่ชัดเจนได้ US30 ก็อาจแกว่งตัวอยู่ในกรอบแคบระหว่าง 46000–46600 ต่อไปค่ะ โดยตัวชี้วัดอย่าง RSI ที่เคลื่อนอยู่บริเวณระดับกลางก็ยิ่งสะท้อนภาวะเคลื่อนไหวในกรอบแคบ ส่งผลให้ราคามีแนวโน้มเหวี่ยงตัวระหว่างกรอบล่างแถว 46000–45800 และกรอบบนใกล้ 46600 ขณะที่ตลาดรอปัจจัยใหม่เข้ามาหนุน ทำให้นักลงทุนเฝ้าจับตาความผันผวนที่ลดลงหรือวอลุ่มที่เบาบางลงเพื่อรอทิศทางสำคัญถัดไปค่ะ
อย่างไรก็ตาม หากแรงขายเริ่มกดดันมากขึ้น และ US30 หลุดต่ำกว่า 46000 โมเมนตัมขาลงอาจเร่งตัวตามมาได้ค่ะ และหากหลุดพร้อมวอลุ่มที่เพิ่มขึ้น ก็จะเปิดทางให้ราคาลงไปทดสอบแนวรับถัดไปบริเวณ 45300–45400 และมีโอกาสไหลลงลึกไปถึง 45000 หรืออาจลงไปแตะ 44900 ได้ค่ะ
โดยสรุป ดัชนี US30 อยู่ในจุดชี้ขาดของทิศทางราคา หากสามารถประคองตัวเหนือ 46100 ได้ ก็มีโอกาสต่อยอดการปรับขึ้นไปสู่บริเวณ 47000 แต่หากดัชนียังไม่มีทิศทางที่ชัดเจน ก็อาจเคลื่อนไหวในกรอบระยะหนึ่ง และในกรณีที่หลุดระดับ 46000 ก็จะเพิ่มความเป็นไปได้ที่ราคาจะปรับฐานลงสู่ช่วงกลางระดับ 45000 ค่ะ
📍ข้อมูลประกอบการวิเคราะห์ทางเทคนิค (US30 / DJIA)
- แนวรับสำคัญ : 45834.0, 45457.6, 44848.4
- แนวต้านสำคัญ : 47052.4, 47428.8, 48038
ข่าวที่ส่งผลกระทบต่อแนวโน้มหุ้นสหรัฐ

ที่มา : Forexfactory
กำหนดการรายงานผลประกอบการ

ที่มา : TradingView
📍หุ้นสหรัฐที่น่าจับตามอง
- Home Depot (HD): อยู่ในภาวะขายมากเกินไปอย่างชัดเจนค่ะ ตัวชี้วัด RSI อยู่ใกล้ระดับต่ำสุด และโมเมนตัมหลายตัวก็ส่งสัญญาณว่าการปรับลงเริ่มอ่อนแรงแล้ว อย่างไรก็ตาม ทิศทางระยะสั้นยังคงเป็นขาลง เพราะ MACD ยังอยู่ในโซนลบ และราคายังเคลื่อนไหวต่ำกว่าค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ระยะสั้น โดยแนวรับสำคัญอยู่บริเวณ 332–333 ดอลลาร์ หากราคายืนเหนือโซนนี้ได้ อาจเห็นแรงรีบาวด์ทางเทคนิคกลับขึ้นไปทดสอบแนวต้าน 340–346 ดอลลาร์ แต่ถ้าหลุดแนวรับนี้พร้อมปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น แนวโน้มขาลงอาจยืดเยื้อออกไปก่อนจะฟื้นตัวได้อย่างจริงจังค่ะ นักลงทุนจึงควรจับตาการกลับตัว หรือปริมาณซื้อขายที่เพิ่มขึ้น เพื่อยืนยันการเปลี่ยนทิศทางของโมเมนตัมค่ะ
- Merck (MRK): กราฟยังดูแข็งแรง ราคายืนเหนือเส้น EMA 20 50 และ 200 วัน บ่งบอกว่าทิศทางหลักยังคงเป็นขาขึ้น แต่ตัวชี้วัดโมเมนตัมอย่าง RSI เข้าใกล้เขตซื้อมากเกินไป จึงมีโอกาสที่แรงส่งอาจเริ่มชะลอในระยะสั้น โดยแนวต้านสำคัญอยู่บริเวณ 82–85 ดอลลาร์ หากไม่สามารถผ่านไปได้ อาจเกิดการพักตัวลงมาทดสอบแนวรับหลักแถว 76–79 ดอลลาร์ ซึ่งการที่ราคาจะเดินหน้าต่อในแนวโน้มขาขึ้นนั้น จำเป็นต้องทะลุแนวต้านขึ้นไปพร้อมกับปริมาณซื้อขายที่หนุนชัดเจนค่ะ ถ้าแรงซื้อไม่มากพอ หรือโมเมนตัมเริ่มอ่อนแรง ก็มีโอกาสที่หุ้นจะกลับไปเคลื่อนไหวในช่วงพักตัวอีกครั้งค่ะ
- Sherwin-Williams (SHW): กำลังเคลื่อนไหวในโซนที่ค่อนข้างเปราะบางค่ะ เนื่องจากภาพรวมของแนวโน้มยังอ่อนแรง ราคายังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่หลายช่วงเวลา โมเมนตัมอยู่ในโซนกลาง แสดงว่าทั้งแรงซื้อและแรงขายยังไม่ชัดเจนค่ะ โดยแนวรับหลักอยู่ที่ 320–325 ดอลลาร์ หากสามารถเด้งขึ้นจากโซนนี้ได้ ก็มีโอกาสขึ้นไปทดสอบแนวต้านช่วง 340–355 ดอลลาร์ แต่ถ้าหลุดระดับ 320 ดอลลาร์ลงไป จะทำให้โครงสร้างกราฟเป็นลบมากขึ้น และเปิดทางให้ราคาปรับลงต่อค่ะ
- NVIDIA (NVDA): กำลังเข้าสู่ช่วงที่มีความผันผวนค่อนข้างสูงค่ะ การแกว่งของราคาสะท้อนบรรยากาศความไม่แน่นอนเกี่ยวกับกระแส AI ขณะที่ราคากำลังพักฐานลงจากจุดสูงสุดก่อนหน้า และสัญญาณทางเทคนิคชี้ว่า NVDA อาจกำลังมองหาแนวรับในโซน 150–160 ดอลลาร์ โดยมีตัวชี้วัดโมเมนตัมที่อ่อนแรงลง ซึ่งบ่งบอกว่าการปรับฐานอาจยังไม่สิ้นสุด หากราคาสามารถดีดตัวจากโซนนี้ได้อย่างแข็งแรง แนวโน้มขาขึ้นก็อาจกลับมาเด่นชัดอีกครั้ง แต่ถ้าหลุดแนวรับดังกล่าว ราคาก็มีโอกาสปรับลงลึกยิ่งกว่าเดิม เพราะเป็นหุ้นที่มีความไวต่อข่าวด้านมหภาคและข่าวในกลุ่ม AI สูงมากค่ะ
- Oracle (ORCL): อยู่ในช่วงพักฐาน หลังจากปรับขึ้นมาอย่างรุนแรงก่อนหน้านี้ค่ะ ตัวชี้วัดทางเทคนิคยังให้สัญญาณหลากหลาย แต่โครงสร้างภาพรวมเริ่มดีขึ้น โดยราคายังยืนเหนือเส้นแนวโน้มหลักหลังจากผ่านช่วงผันผวนมาได้ แนวรับสำคัญอยู่ที่โซน 285–295 ดอลลาร์ค่ะ หากราคายืนเหนือโซนนี้ได้ โครงสร้างจะยังคงอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น และมีโอกาสกลับไปทดสอบระดับ 320 ดอลลาร์ อีกทั้งหากทะลุขึ้นไปได้อย่างมั่นคง ก็อาจขยายเป้าหมายไปถึงโซน 340–345 ดอลลาร์ค่ะ แต่หากหลุดระดับ 278 ดอลลาร์ แนวโน้มจะเปลี่ยนเป็นลบ และมีความเสี่ยงที่จะปรับฐานลงแรงมากขึ้นค่ะ
🔍คุณน้าแนะนำเทรดหุ้น CFD ไปกับโบรกเกอร์ IUX

IUX มีการให้บริการซื้อขายหุ้น CFD ประกอบไปด้วยหุ้นกลุ่ม Magnificent Seven (M7) อีกทั้งยังมีหุ้นให้เลือกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Coca Cola, Adobe, Alibaba, McDonalds Incorporated และ Netflix เป็นต้น ทำให้เหมาะสำหรับเทรดเดอร์มือใหม่และเทรดเดอร์รายย่อยที่มีต้นทุนจำกัดแล้วต้องการซื้อขายหุ้นระดับโลก
สรุปคุยหุ้นสหรัฐและแนวโน้มในการลงทุน (US30 / DJIA)
จุดน่าเข้า Buy
- Buy/ Long 1 : หากมีการแตะแนวรับที่ช่วงราคา 45134.0 – 45834.0 แต่ไม่สามารถทะลุแนวรับที่ 45834.0 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 47169.9 และ SL ที่ประมาณ 44784.0 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
- Buy/ Long 2 : หากสามารถทะลุแนวต้านที่ช่วงราคา 47052.4 – 47752.4 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 48038.0 และ SL ที่ประมาณ 45484.0 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
จุดน่าเข้า Sell
- Sell/ Short 1 : หากมีการแตะแนวต้านที่ช่วงราคา 47052.4 – 47752.4 แต่ไม่สามารถทะลุแนวต้านที่ 47052.4 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 45575.1 และ SL ที่ประมาณ 48102.4 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
- Sell/ Short 2 : หากสามารถทะลุแนวรับที่ช่วงราคา 45134.0 – 45834.0 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 44848.4 และ SL ที่ประมาณ 47402.4 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
คำเตือน
บทวิเคราะห์นี้ใช้สำหรับการศึกษาข้อมูลของหุ้นสหรัฐเบื้องต้นเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลของสินทรัพย์และศึกษาความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องอย่างละเอียด ประกอบกับศึกษาแนวโน้มหุ้นและข่าวสหรัฐก่อนตัดสินใจลงทุน
สำหรับใครที่สนใจอ่านรีวิวโบรกเกอร์ : Review Brokers
บทความในเรื่องการลงทุนที่น่าสนใจ : Investing
คลังความรู้จากคุณน้า : Knowledge







