ในโลกของการเทรด Forex การเทรดสั้นและการเทรดยาวถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไรได้ ดังนั้น การทำความเข้าใจและเลือกใช้กลยุทธ์ให้เหมาะสมกับเป้าหมายในการเทรดจึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเทรดเดอร์ทุกคน ในบทความนี้ คุณน้าจะพาทุกคนมาเจาะลึกถึงกลยุทธ์เทรดระยะสั้นและเทรดระยะยาว ถ้าพร้อมแล้วไปหาคำตอบกันเลยค่ะ
*หมายเหตุ : บทความนี้เป็นเพียงบทความให้ความรู้เท่านั้น ไม่ได้เป็นการชักชวนเพื่อลงทุนแต่อย่างใด โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
เทรดสั้น คืออะไร?

การเทรดระยะสั้น (Short Term Trading) คือ การทำกำไรจากความผันผวนของราคาในระยะสั้น ๆ ซึ่งเทรดเดอร์มักจะเลือกเปิดปิดออเดอร์ โดยใช้ Time Frame ตั้งแต่ระดับนาที, ชั่วโมง, 1-2 วัน ไปจนถึง 1 สัปดาห์ สำหรับจุดเด่นของการเทรดระยะสั้นนั้นจะเน้นการหาจังหวะเพื่อทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคา โดยอาศัยการวิเคราะห์ทางเทคนิคที่แม่นยำ ประกอบกับการตัดสินใจที่รวดเร็วนั่นเอง
ประเภทของการเทรดสั้น มีอะไรบ้าง?
เนื่องจากการเทรดระยะสั้นต้องอาศัยการวิเคราะห์ทางเทคนิคที่แม่นยำ ทำให้เทรดเดอร์มักเลือกใช้ Time Frame สั้น ๆ เพื่อหาโอกาสในการทำกำไร ดังนั้น คุณน้าขอแนะนำ 3 กลยุทธ์ในการเทรดระยะสั้นที่เทรดเดอร์นิยมใช้ ได้แก่ Day Trading, Scalping Trading และ Swing Trading โดยมีรายละเอียด ดังนี้ค่ะ
Day Trading
Day Trading คือ กลยุทธ์การเทรดที่เลือกเปิดปิดออเดอร์ภายในวันเดียว โดยไม่นิยมถือออเดอร์ข้ามคืน เพื่อหลีกเลี่ยงค่าธรรมเนียมที่จะถูกเรียกเก็บเพิ่มเติม และที่สำคัญ ก็คือ เพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดในช่วงเวลากลางคืน
สำหรับเทรดเดอร์คนไหนที่ต้องการเรียนรู้วิธีการเป็น Day Trader เพิ่มเติม สามารถอ่านบทความเกี่ยวกับการเป็น Day Trader มือโปรได้ที่บทความด้านล่างได้เลย
Scalping Trading
Scalping Trading คือ กลยุทธ์การเทรดที่เลือกเปิดปิดออเดอร์อย่างรวดเร็วภายในไม่กี่นาที เนื่องจากกลยุทธ์ Scalping จะอาศัยการทำกำไรทีละเล็กละน้อยจากการเปิดออเดอร์แบบถี่ ๆ ค่ะ ทำให้ไม่นิยมเทรดบน Time Frame ขนาดใหญ่ แต่จะเลือกเทรด Time Frame สั้น ๆ ก็คือ 5-15 นาที เพราะจะเห็นการเคลื่อนไหวของราคาที่เปลี่ยนไป ดังนั้น เทรดเดอร์ Scalping จะต้องมือไวและใจนิ่ง เพราะจำเป็นต้องเฝ้าหน้าจออยู่ตลอดเวลา เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสในการทำกำไรนั่นเองค่ะ
Swing Trading
Swing Trading คือ กลยุทธ์การเทรดที่เลือกถือออเดอร์หลายวันหรือหลายสัปดาห์ ซึ่ง Swing Trade จะเน้นการทำกำไรจากแนวโน้มของราคาในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ไปจนถึงระยะกลาง โดยอาศัยการวิเคราะห์ทางเทคนิค เพื่อหาจังหวะในการเปิดปิดออเดอร์ตามแนวโน้มของราคา
ดังนั้น Swing Trade จะมีความยืดหยุ่นในการเปิดปิดออเดอร์มากกว่ากลยุทธ์ Day Trade และคาดหวังผลกำไรที่มากกว่าการเก็บทีละเล็กละน้อยเหมือนกับกลยุทธ์ Scalping ทำให้เทรดเดอร์ไม่จำเป็นต้องเฝ้าหน้าจอตลอดเวลาค่ะ
อย่างไรก็ดี กลยุทธ์ Swing Trade จะต้องเสียค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม เนื่องจากเป็นการถือออเดอร์ข้ามคืนค่ะ ส่งผลให้เทรดเดอร์จำเป็นต้องคำนวณ Risk:Reward เพื่อประเมินความคุ้มค่าในการเปิดปิดออเดอร์ในแต่ละครั้งให้ดี ทั้งนี้ ก็จะขึ้นอยู่กับสินทรัพย์และโบรกเกอร์ที่คุณเลือกใช้บริการด้วยนะคะ
ข้อดี-ข้อเสียของการเทรดสั้น
ข้อดี
- สามารถเทรดได้ในหลายตำแหน่งและหลายสินทรัพย์ไปพร้อม ๆ กัน
- เพิ่มโอกาสในการทำกำไรทั้งตลาดขาขึ้นและขาลง
ข้อเสีย
- มีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นค่าคอมมิชชัน หรือค่าสเปรด เนื่องจากการเทรดระยะสั้นนิยมเปิดปิดออเดอร์บ่อยครั้งต่อวัน
- ต้องอาศัยประสบการณ์ในการเทรดพอสมควร
- มีความเสี่ยงสูง เนื่องจากราคามีความผันผวนอยู่ตลอดเวลา
- เกิดความเครียดและความกดดันได้ง่าย
เทคนิคเทรดระยะสั้น ปั้นพอร์ตเล็กตามสไตล์คุณน้า

จากที่กล่าวไปข้างต้น จะเห็นได้ว่าการเทรดระยะสั้นเน้นการทำกำไรจากความผันผวนของราคา โดยอาศัยการวิเคราะห์ทางเทคนิคที่แม่นยำ ดังนั้น เทคนิคเทรดระยะสั้น ปั้นพอร์ตเล็กที่คุณน้าจะมาแชร์ให้กับทุกคนมีทั้งหมด 7 เทคนิค ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้
1. จดบันทึกข้อมูลการเทรดทุกครั้ง
เทคนิคการเทรดระยะสั้นที่คุณน้าขอแชร์ทริก ก็คือ การจดบันทึกข้อมูลการเทรดทุกครั้ง ซึ่งเทรดเดอร์หลายคนอาจฟังแล้วดูน่าเบื่อและมองข้ามเรื่องนี้ไป แต่คุณน้าเห็นว่า การจดบันทึกการเทรดจะช่วยให้คุณพัฒนาทักษะและกลยุทธ์การเทรดได้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะกับเทรดเดอร์มือใหม่ค่ะ เพราะการจดบันทึกจะช่วยสร้างวินัยในการเทรดให้เป็นไปตามแบบแผนที่คุณวางไว้ อีกทั้งยังช่วยให้คุณเข้าใจจุดอ่อน-จุดแข็ง และช่วยพัฒนาทักษะในอนาคตได้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย
สำหรับเครื่องมือการจดบันทึกการเทรดสามารถเลือกใช้เครื่องมือพื้นฐานได้ ไม่ว่าจะเป็น Google Sheet หรือ Google Excel เพราะหัวใจหลักของการจดบันทึก ก็คือ การหมั่นสร้างวินัยให้กับตนเองนั่นเอง
2. รอสัญญาเทรดที่ชัดเจน
แม้ว่าการเทรดระยะสั้นจะอาศัยโอกาสในการเปิดปิดออเดอร์อย่างรวดเร็ว แต่ไม่ได้หมายความว่าคุณจะเข้าเทรดโดยที่ไม่รอสัญญาณที่ชัดเจนได้ เพราะหากคุณเข้าเทรดโดยที่ไม่รอสัญญาณ อาจจะเกิดข้อผิดพลาดได้มากกว่าการเทรดอย่างมีสติและรอบคอบ ซึ่งคุณควรรอให้ราคามาถึงจุดของเครื่องมือทางเทคนิคที่ตั้งไว้ ไม่ว่าจะเป็นการรอแนวรับ-แนวต้านสำคัญ, รอสัญญาณ Golden Cross หรือได้รับสัญญาณจาก Price Action เพื่อช่วยยืนยันการตัดสินใจที่แม่นยำมากยิ่งขึ้น ดังนั้น เพื่อให้การเทรดของคุณเป็นไปอย่างเป็นระบบ ควรตั้งเงื่อนไขการเทรดให้ชัดเจน ดังนี้
- หากเป็นไปตามเงื่อนไข สามารถเข้าเทรดได้เลย
- หากไม่เป็นไปตามเงื่อนไข ควรหลีกเลี่ยงการเข้าเทรด
3. วิเคราะห์ Time Frame และเลือกใช้ให้เป็น


การวิเคราะห์ Time Frame ถือได้ว่าเป็นเรื่องสำคัญสำหรับการเทรดระยะสั้นเป็นอย่างมากค่ะ เพราะการเลือกใช้ Time Frame ต่างกัน ก็จะแสดงผลถึงพฤติกรรมของราคาที่ต่างกัน ดังนั้น คุณควรเลือกศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับ Time Frame ให้ละเอียด โดยสำรวจตนเองว่าเหมาะกับกลยุทธ์การเทรดระยะสั้นแบบไหน เพื่อเลือกใช้ Time Frame ให้เหมาะสมและมีประสิทธิภาพให้ได้มากที่สุด
4. ศึกษาเครื่องมือที่ใช้วิเคราะห์ทางเทคนิคให้แม่นยำ

นอกจากการศึกษา Time Frame แล้ว การศึกษาเครื่องมือทางเทคนิคก็ถือเป็นเรื่องจำเป็นค่ะ เพราะการเทรดระยะสั้นต้องใช้เครื่องมือทางเทคนิคที่มีความแม่นยำ เพื่อบริหารความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ โดยคุณน้าขอแนะนำเครื่องมือทางเทคนิคยอดนิยม โดยมีรายละเอียด ดังนี้
- Indicator : เครื่องมือที่ช่วยให้การวิเคราะห์กราฟราคามีความแม่นยำมากยิ่งขึ้น ซึ่ง Indicator แต่ละประเภทก็มีจุดเด่นที่แตกต่างกัน ยกตัวอย่างเช่น MACD อินดิเคเตอร์ที่ใช้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ในการประมวลผลราคาในอดีต เพื่อระบุแนวโน้ม, แนวรับ-แนวต้าน และจุดกลับตัวของราคาสินทรัพย์นั้น ๆ ซึ่งปกติแล้ว เทรดเดอร์มักจะใช้อินดิเคเตอร์ 2 ชนิด เพื่อช่วยยืนยันสัญญาณในการซื้อขายค่ะ
- แนวรับ-แนวต้าน : เครื่องมือพื้นฐานที่จะช่วยให้สังเกตเห็นพฤติกรรมของราคา ซึ่งแนวรับ-แนวต้านจะสะท้อนให้เห็นถึงจิตวิทยาการเทรดของเหล่าผู้เล่นในตลาด
- รูปแบบแท่งเทียน : เครื่องมือพื้นฐานที่สะท้อนถึงการเคลื่อนไหวของราคาในตลาด ไม่ว่าจะเป็นราคาเปิด, ราคาปิด, ราคาต่ำสุด และราคาสูงสุด ซึ่งจะช่วยให้เทรดเดอร์สามารถวิเคราะห์พฤติกรรมราคาและเข้าใจแนวโน้มของตลาดได้อย่างแม่นยำมากขึ้น
- Price Action : สัญญาณที่สะท้อนถึงกิจกรรมระหว่างเทรดเดอร์ฝั่ง Buyer และ Seller ซึ่งเป็นการวิเคราะห์พฤติกรรมของราคาจากกราฟจริง เพื่อหาสัญญาณในการเข้าซื้อขาย หรือหาจุดกลับของราคาในช่วงนั้น ๆ
- Trend Line : เส้นที่จะช่วยระบุแนวโน้มของราคาที่เกิดขึ้น ณ ช่วงเวลานั้น ๆ
ตั้งค่า MACD เทรดสั้นเท่าไหร่ดี?
การตั้งค่า MACD สำหรับเทรดระยะสั้น โดยทั่วไป จะตั้งค่าเส้น MACD อยู่ที่ระดับมาตรฐาน ก็คือ 12, 26 และ 9 ซึ่งสามารถอ่านค่าได้ ดังนี้
- Fast EMA เท่ากับ 12 เป็นเส้น EMA คำนวณจากราคาย้อนหลัง 12 วัน
- Slow EMA เท่ากับ 26 เป็นเส้น EMA คำนวณจากราคาย้อนหลัง 26 วัน
- Signal Line เท่ากับ 9 เป็นค่า MACD Line ที่ใช้เป็นเกณฑ์สัญญาณซื้อขายในตลาด Forex
5. ตั้งจุด Stop Loss และ Take Profit ทุกครั้ง
การตั้งจุด Stop Loss จะช่วยป้องกันการขาดทุนที่มากเกินไป หากราคาวิ่งไปผิดทางกับออเดอร์ที่เปิด ซึ่ง Stop Loss จะเป็นตัวช่วยให้นักลงทุนมีวินัยและลดความเสี่ยงในการขาดทุน ส่วน Take Profit เป็นการตั้งค่าการปิดออเดอร์อัตโนมัติเพื่อทำกำไรเมื่อถึงจุดตัดราคาที่กำหนดไว้ ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงและมีโอกาสทำกำไรได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ดังนั้น การตั้ง Stop Loss และ Take Profit เป็นเหมือนการฝึกวินัยให้กับตนเอง
6. เลือกโบรกเกอร์ที่เหมาะกับการเทรดระยะสั้น
การเลือกโบรกเกอร์ก็มีความสำคัญเช่นเดียวกัน เพราะการเทรดระยะสั้นมักจะเป็นการเปิดปิดออเดอร์ถี่ ๆ หลายครั้งต่อวัน ทำให้มีค่าธรรมเนียมที่อาจจะต้องให้กับทางโบรกเกอร์เพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็นค่าคอมมิชชันและค่าสเปรดที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ซึ่งหากคุณเลือกโบรกเกอร์สเปรดสูงก็จะต้องเสียต้นทุนในการเทรดที่เพิ่มมากขึ้น จนทำให้กำไรที่ได้รับลดลงตามไปด้วย ดังนั้น การเลือกโบรกเกอร์สเปรดต่ำจะช่วยลดต้นทุนให้ลดลงและเป็นการเพิ่มโอกาสในการทำกำไรนั่นเองค่ะ
7. ปฏิบัติตามเป้าหมายของตนเองอย่างเคร่งครัดและมีแผนสำรองเสมอ
และเทคนิคสุดท้ายที่คุณน้าเห็นว่ามีความสำคัญกับการเทรดระยะสั้นเป็นอย่างมาก นั่นก็คือ การปฏิบัติตามเป้าหมายของตนเองอย่างเคร่งครัด พร้อมทั้งมีแผนสำรองเสมอ เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เนื่องจากตลาด Forex มีความเสี่ยงและความผันผวนสูง ดังนั้น หากผลลัพธ์ในการเทรดไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ คุณควรมีแผนสำรองเพื่อไปสู่ความสำเร็จในการเทรดที่ดีในอนาคตค่ะ
เทรดยาว คืออะไร?

การเทรดระยะยาว (Long Term Trading) คือ การทำกำไรจากการถือออเดอร์เป็นระยะเวลานาน โดยเลือกใช้ Time Frame รายสัปดาห์ไปจนถึงรายเดือน โดยจุดเด่นของการเทรดระยะยาว ก็คือ เทรดเดอร์จะวางแผนกลยุทธ์อย่างรัดกุมด้วยการวิเคราะห์แนวโน้มของราคาที่เกิดขึ้น พร้อม ๆ กับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็นข่าวสารเศรษฐกิจ, อัตราดอกเบี้ย หรืออัตราการว่างงาน เป็นต้น เพื่อประเมินทิศทางราคาและแนวโน้มของตลาดในภาพรวม
ประเภทของการเทรดยาว มีอะไรบ้าง?
เนื่องจากการเทรดระยะยาวนิยมถือออเดอร์เป็นเวลานาน ดังนั้น คุณน้าขอแนะนำ 2 กลยุทธ์ของการเทรดระยะยาว โดยมีรายละเอียด ดังนี้
Position Trading
Position Trading คือ กลยุทธ์การเทรดที่ถือออเดอร์เป็นระยะเวลานาน โดยการเลือกใช้ Time Frame ตั้งแต่รายสัปดาห์, รายเดือน ไปจนถึงรายปี ซึ่งเทรดเดอร์ที่นิยมใช้ Position Trading มักจะวิเคราะห์ปัจจัยทางเทคนิคควบคู่ไปกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน เพื่อหาแนวโน้มของราคาขนาดใหญ่ รวมถึงมองภาพรวมของตลาดในระยะยาว ซึ่งต้องอาศัยความอดทนและความมีวินัยสูงมาก เพราะต้องวางแผนกลยุทธ์อย่างละเอียดและรอบคอบ หากแนวโน้มของราคาขัดแย้งกับกลยุทธ์ที่คุณตั้งไว้ อาจส่งผลต่อการขาดทุนครั้งใหญ่ได้เช่นเดียวกัน
Trend Following (การเทรดตาม Trend)
Trend Following (การเทรดตาม Trend) คือ การเทรดตามความเคลื่อนไหวของราคา โดยเทรดเดอร์จะเข้าซื้อเมื่อราคาอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น และขายเมื่อราคาอยู่ในแนวโน้มขาลง ซึ่งเทรดเดอร์จะถือออเดอร์ไว้เรื่อย ๆ จนกว่าแนวโน้มจะมีการเปลี่ยนแปลง ทำให้หลายคนเรียกการเทรดรูปแบบนี้ว่า “การเทรดตามกระแสน้ำ” ซึ่งต้องอาศัยความอดทนในการถือออเดอร์และมีวินัยในการจัดการความเสี่ยง เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวนั่นเอง
ข้อดี-ข้อเสียของการเทรดยาว
ข้อดี
- เพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่มากขึ้นในระยะยาว
- ลดความเครียด เพราะไม่จำเป็นต้องนั่งเฝ้ากราฟอยู่ตลอดเวลา
- ช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาในระยะสั้น
- ประหยัดค่าธรรมเนียมการเทรดและค่าสเปรด เพราะถือออเดอร์นานกว่าการเทรดระยะสั้น
ข้อเสีย
- ต้องมีความเข้าใจเชิงลึกเกี่ยวกับเศรษฐกิจเพื่อวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน
- เมื่อถือออเดอร์ข้ามคืนอาจถูกคิดค่า Swap เพิ่มเติม
เทคนิคเทรดยาว ปั้นพอร์ตให้ยั่งยืนตามสไตล์คุณน้า

เนื่องจากการเทรดระยะยาวจำเป็นต้องถือออเดอร์เป็นระยะเวลานาน ดังนั้น คุณน้าขอแชร์ 3 เทคนิคเทรดระยะยาว ปั้นพอร์ตอย่างไรให้ยั่งยืน โดยมีรายละเอียด ดังนี้
1. วางแผนกลยุทธ์การเทรดให้รัดกุม
การเทรดระยะยาวจะมีความแตกต่างจากการเทรดระยะสั้นเป็นอย่างมาก เพราะต้องอาศัยความอดทนและความมีวินัยในการถือออเดอร์ ดังนั้น เทรดเดอร์ควรวางแผนกลยุทธ์การเทรดให้รัดกุมทั้งการวิเคราะห์ปัจจัยทางเทคนิค ไม่ว่าจะเป็นการตั้งแนวรับ-แนวต้าน, การใช้ Indicator, Price Pattern หรือการวิเคราะห์กราฟแท่งเทียน รวมถึงจำเป็นต้องศึกษาปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจควบคู่ไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นอัตราดอกเบี้ย, อัตราเงินเฟ้อ และเหตุการณ์สำคัญที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจ เพื่อหาจังหวะในการเข้าซื้อขายได้อย่างเหมาะสม
2. ตั้งจุด Stop Loss และ Take Profit ทุกครั้ง

การตั้งจุด Stop Loss และ Take Profit ทุกครั้ง จะช่วยป้องกันความเสี่ยงจากการขาดทุนและเพิ่มโอกาสในการทำกำไรตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ซึ่งคุณน้าขอแนะนำให้ใช้ Trailing Stop เพื่อรักษากำไรและป้องกันการกลับตัวของราคาโดยอัตโนมัติ
3. เลือกโบรกเกอร์ให้เหมาะสมกับการเทรดระยะยาว
การเทรดระยะยาวมักจะมาพร้อมกับการเสียค่าธรรมเนียมดอกเบี้ยข้ามคืน หรือที่เรียกว่าค่า Swap เนื่องจากเป็นการถือออเดอร์ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน ดังนั้น เทรดเดอร์ที่ชื่นชอบการเทรดระยะยาวควรจะเลือกโบรกเกอร์ที่คิดค่า Swap ต่ำหรือโบรกเกอร์ Free Swap เพื่อช่วยลดต้นทุนในการถือออเดอร์ข้ามคืน

⭐ คุณน้าแนะนำโบรกเกอร์คุณสมบัติเด่น!
การเลือกโบรกเกอร์ถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญ สำหรับการเทรด Forex ค่ะ
เพราะโบรกเกอร์จะพัฒนาระบบและเครื่องมือต่าง ๆ ที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้การเทรดของคุณเป็นไปอย่างราบรื่นให้ได้มากที่สุด
สำหรับเทรดเดอร์ที่ยังไม่มั่นใจว่า โบรกเกอร์ Forex แบบไหนดี?
คุณน้าได้รวบรวมการจัดอันดับของโบรกเกอร์ในทุกคุณสมบัติ เช่น สเปรดต่ำ, เทรดทอง หรือโบนัสฟรี

💡 คัมภีร์เริ่มต้น มือใหม่หัดเทรด
มือใหม่หัดเทรดที่ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดี? คุณน้าได้รวบรวมเนื้อหาสำคัญที่ถือเป็นจุดเริ่มต้น สำหรับการเทรด Forex มาไว้ให้แล้วที่นี่!
🔍 ตัวอย่างเนื้อหา มือใหม่หัดเทรดต้องรู้!
รวมคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับเทรดสั้น เทรดยาว
การเทรดระยะสั้นคืออะไร?
การเทรดระยะสั้น (Short Term Trading) คือ การทำกำไรจากความผันผวนของราคาในระยะสั้น ๆ ซึ่งเทรดเดอร์มักจะเลือกเปิดปิดออเดอร์ โดยใช้ Time Frame ตั้งแต่ระดับนาที, ชั่วโมง, 1-2 วัน ไปจนถึง 1 สัปดาห์
เทรดสั้น 5 นาที คืออะไร?
เทรดสั้น 5 นาที คือ Scalping Trading เป็นกลยุทธ์การเทรดที่เลือกเปิดปิดออเดอร์อย่างรวดเร็วภายในไม่กี่นาที เนื่องจากกลยุทธ์รูปแบบนี้ จะอาศัยการทำกำไรทีละเล็กละน้อยจากการเปิดออเดอร์แบบถี่ ๆ จึงมักเลือกเทรด Time Frame สั้น ๆ ก็คือ 5-15 นาที
การเทรดระยะยาวคืออะไร?
การเทรดระยะยาว คือ การทำกำไรจากการถือออเดอร์เป็นระยะเวลานาน โดยเลือกใช้ Time Frame รายสัปดาห์ไปจนถึงรายเดือน
สรุปเทรดสั้น VS เทรดยาว แบบไหนดี?
ทั้งหมดนี้ ก็คือ เทรดระยะสั้นและเทรดระยะยาวค่ะ ซึ่งจะเห็นได้ว่าทั้ง 2 รูปแบบนี้ มีจุดเด่นและจุดด้อยที่แตกต่างกัน สำหรับเทรดเดอร์คนไหนที่ชื่นชอบการเทรดแบบสายซิ่งก็จะนิยมการเทรดระยะสั้น ส่วนเทรดเดอร์คนไหนที่ชื่นชอบการเทรดแบบมั่นคง ค่อยเป็นค่อยไปก็จะชอบการเทรดระยะยาว ซึ่งคุณน้าไม่สามารถการันตีได้ว่าการเทรดแบบไหนดีกว่ากัน เพราะการเทรดระยะสั้นและเทรดระยะยาวตอบโจทย์สไตล์การเทรดที่แตกต่างกัน ดังนั้น อย่าลืมเปรียบเทียบข้อมูลของการเทรดทั้ง 2 ประเภท ก่อนตัดสินใจเริ่มต้นเทรด เพื่อเลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสมกับคุณให้ได้มากที่สุด ด้วยความปรารถนาดีจากทีมงานคุณน้าพาเทรดค่ะ
สำหรับใครที่สนใจอ่านรีวิวโบรกเกอร์ : Review Brokers
บทความในเรื่องการลงทุนที่น่าสนใจ : Investing
คลังความรู้จากคุณน้า : Knowledge