เริ่มต้นลงทุนอย่างไรให้ประสบความเร็จ การศึกษาการวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis) ถือเป็นเทคนิคพื้นฐานที่นักลงทุนหรือเทรดเดอร์จำเป็นต้องรู้ค่ะ เพราะเป็นเทคนิคสำคัญที่จะช่วยให้คุณสามารถอ่านพฤติกรรมของกราฟราคาได้อย่างแม่นยำ
ดังนั้น ในบความนี้ คุณน้าจะพาทุกคนมาพิชิตกราฟราคาด้วยการวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis) แบบขั้นเทพกันค่ะ โดยจะมีเทคนิคไหนที่เหมาะกับกลยุทธ์ในการลงทุนของคุณบ้าง อ่านบทความนี้ได้เลย!
*หมายเหตุ : บทความนี้เป็นเพียงบทความให้ความรู้เท่านั้น ไม่ได้เป็นการชักชวนเพื่อลงทุนแต่อย่างใด โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis) คืออะไร?
การวิเคราะห์ทางเทคนิค (เทคนิคอล) คือ การวิเคราะห์ราคาสินทรัพย์จากปริมาณการซื้อขาย, ข้อมูลของราคา รวมไปถึงช่วงเวลาในการซื้อขายที่กำหนดไว้ โดยการนำข้อมูลเหล่านี้มาคำนวณเป็นค่าทางคณิตศาสตร์ เพื่อประเมิแนวโน้มและพฤติกรรมของราคาในอนาคตค่ะ
สำหรับการวิเคราะห์เทคนิคอลจะได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เพราะสามารถนำมาประเมินราคาสินทรัพย์ได้ในทุกตลาดการเงิน ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้น, ตลาด Forex หรือตลาด Crypto เป็นต้น
ย้อนรอยต้นกำเนิดของการวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis)
การวิเคราะห์ทคนิคอลถือกำเนิดขึ้นเมื่อตลาดเริ่มขับเคลื่อนด้วยกฏอุปสงค์และอุปทานค่ะ โดยในช่วงศตวรรษที่ 19 การวิเคราะห์เทคนิคอลได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เนื่องจากมีผู้พัฒนาการวิเคราะห์เทคนิคอลหลายท่าน ไม่ว่าจะเป็น Charles H. Dow ผู้ก่อตั้งและบรรณาธิการของ The Wall Street Journal ผู้พัฒนา Dow Theory
นอกจากนี้ ยังมี Ralph Nelson Elliott ผู้พัฒนา Elliott Wave หรือ William Delbert Gann ผู้พัฒนา Gann Angle, Richard Demille Wyckoff เป็นต้น


Dow Theory เป็นอย่างไร?
Dow Theory หรือทฤษฎีดาว เป็นการวิเคราะห์แนวโน้มของหุ้นด้วยการพิจารณา 5 ข้อสำคัญ ได้แก่
- แนวโน้ม 3 แนวโน้มหลัก ได้แก่ แนวโน้มหลัก, แนวโน้มรอง และแนวโน้มย่อย
- ปริมาณการซื้อขายต้องมีความสัมพันธ์กับแนวโน้ม
- ข่าวสารและอารมณ์ของนักลงทุน
- ดัชนีในแต่ละอุตสาหกรรมต้องเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกัน เช่น ดัชนีดาวโจนส์อยู่ในแนวโน้มขาขึ้น ดัชนีอื่นก็ต้องอยู่ในแนวโน้มเดียวกัน
- แนวโน้มจะเคลื่อนไหวไปอย่างต่อเนื่อง จนกว่าจะมีสัญญาณในการเปลี่ยนแปลงแนวโน้ม
Elliott Wave เป็นอย่างไร?
Elliott Wave เป็นทฤษฎีที่ใช้วิเคราะห์ความเคลื่อนไหวของราคาที่สะท้อนมาจากพฤติกรรมและอารมณ์ของนักลงทุน ซึ่งมักจะเกิดขึ้นซ้ำ ๆ ในลักษณะลูกคลื่นที่แตกต่างกันออกไปในหลายรูปแบบ โดยทฤษฎี Elliott Wave จะแบ่งลักษณะของคลื่อนออกเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่ Motive Waves และ Corrective Wave โดยมีรายละเอียด ดังนี้
Motive Waves : คลื่นตามแนวโน้ม โดยจะเคลื่อนไหวไปตามแนวโน้มหลัก ทั้งแนวโน้มขาขึ้นหรือขาลง ซึ่ง Motive Waves จะประกอบไปด้วย 2 คลื่นหลัก ได้แก่ Impulse Wave และ Diagonal Wave
Corrective Wave : คลื่นสวนแนวโน้ม โดยจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางตรงข้ามกับแนวโน้มหลักในช่วงที่ตลาดมีการปรับฐานค่ะ ซึ่ง Corrective Wave จะประกอบ 3 คลื่นหลัก ได้แก่ Wave A, Wave B และ Wave C
ความสำคัญของการวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis)
การวิเคราะห์เทคนิคอลจะช่วยให้นักลงทุนหรือเทรดเดอร์สามารถประยุกต์ใช้เครื่องมือต่าง ๆ เพื่อคาดการณ์แนวโน้มของราคาในอนาคตให้แม่นยำมากที่สุด ทำให้นักลงทุนหรือเทรดเดอร์ไม่ได้ใช้เครื่องมือทางเทคนิคชุดเดียวกัน แต่ปรับใช้เครื่องมือให้มีความหยืดหยุ่นให้เหมาะกับสไตล์การเทรดของพวกเขานั่นเองค่ะ
ดังนั้นแล้ว จะเห็นได้ว่าการวิเคราะห์เทคนิคอลมีความสำคัญเป็นอย่างมาก เนื่องจากตลาดมีการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มอยู่ตลอดเวลา ซึ่งหากคุณสามารถใช้เครื่องมือทางเทคนิคได้อย่างชำนาญแล้วนั้น จะช่วยให้คุณสามารถเรียนรู้และปรับตัวได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในประตูสำคัญที่จะนำไปสู่ความสำเร็จในการเทรดค่ะ
การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis) ในตลาด Forex
การวิเคราะห์เทคนิคอลสามารถใช้ได้กับทุกตลาดทางการเงินและการลงทุนค่ะ โดยคุณน้าขอยกตัวอย่างการวิเคราะห์เทคนิคอลในตลาด Forex โดยมีรายละเอียด ดังนี้
กราฟแท่งเทียน (Candlestick)
กราฟแท่งเทียน (Candlestick) ถือเป็นตัวชี้วัดสำคัญในตลาด Forex ค่ะ เพราะจะสะท้อนให้เห็นถึงพฤติกรรมของราคาในช่วงเวลานั้น ๆ โดยมักจะประกอบไปด้วยเนื้อเทียนและไส้เทียน ซึ่งแสดง ให้เห็นราคาเปิด (Open), ราคาปิด (Close), ราคาสูงสุด (High) และราคาต่ำสุด (Low) นั่นเอง

กราฟแท่งเทียนจะช่วยให้คุณสามารถสังเกตกราฟราคาได้ด้วยตาเปล่า อีกทั้งยังนำไปประยุกต์ใช้งานกลายเป็น Price Action และ Price Pattern เพื่อช่วยให้คุณสามารถเข้าถึงตลาดได้อย่างเรียลไทม์ และที่สำคัญก็คือ ยังช่วยให้สามารถวิเคราะห์การเคลื่่อนไหวของราคาได้อย่างแม่นยำมากยิ่งขึ้นค่ะ
การวิเคราะห์แนวรับ-แนวต้าน

เมื่อคุณศึกษากราฟแท่งเทียนแล้วนั้น ควรศึกษาการวิเคราะห์แนวรับ-แนวต้านควบคู่ไปด้วยค่ะ เพราะจะช่วยให้คุณสามารถยืนยันจุดเข้าเทรดได้อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น เนื่องจากแนวรับ-แนวต้านจะสะท้อนให้เห็นถึงจิตวิทยาการเทรดของผู้เล่นในตลาด Forex รวมไปถึงปริมาณการซื้อขายผ่านรูปแบบของกราฟราคา
คุณน้าขอยกตัวอย่างวิธีการสังเกตโซนราคาซึ่งบ่งชี้ไปถึงแนวรับ-แนวต้าน โดยมีรายละเอียด ดังนี้
- หากราคาเกิดการเด้งตัว 3 ครั้งขึ้นไป นั่นจะแสดงให้เห็นว่าแนวรับมีความแข็งแกร่ง
- หากราคาเกิดการย่อตัวลงมา 3 ครั้งขึ้นไป นั่นจะแสดงให้เห็นว่าแนวต้านมีความแข็งแกร่ง
การวิเคราะห์ Indicator

การวิเคราะห์อินดิเคเตอร์ถือเป็นเครื่องมือทางเทคนิคที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากค่ะ เพราะสามารถประยุกต์ใช้กับเครื่องมือต่าง ๆ ได้ อีกทั้งอินดิเคเตอร์ยังมีหลากหลายชนิด ซึ่งจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในการเทรดได้มากยิ่งขึ้น และที่สำคัญก็คือ เทรดเดอร์สามารถเลือกใช้อินดิเคเตอร์ ให้เหมาะสมกับสไตล์การเทรดได้มากยิ่งขึ้นค่ะ
คุณน้าขอยกตัวอย่างอินดิเคเตอร์ที่เทรดเดอร์นิยมใช้งานกัน ได้แก่ MACD, RSI และ Bollinger Band เป็นต้น
การทดสอบ Backtest Forex

กรทดสอบ Backtest Forex จะช่วยให้คุณทดสอบกลยุทธ์การซื้อขายโดยใช้ข้อมูลในอดีต ซึ่งจะช่วยให้คุณสามารถติดตามผลลัพธ์ในการทำกำไรของระบบเทรด เพื่อทดสอบว่าระบบเทรดของคุณนั้นมีประสิทธิภาพมากน้อยแค่ไหน อีกทั้งยังช่วยให้มองเห็นภาพรวมของสภาวะตลาดทั้งขาขึ้นและขาลง รวมไปถึงการบริหารความเสี่ยงในการขาดทุนที่คุณยอมรับได้ค่ะ
สำหรับการทดสอบ Backtest สามารถทำได้ 2 วิธี ได้แก่ การทำ Backtest แบบ Manual และการทำ Backtest แบบอัตโนมัติ โดยมีรายละเอียด ดังนี้
การทำ Backtesting | |
Manual | แบบอัตโนมัติ |
การจำลองการเทรดด้วยการจดบันทึกเองทุกครั้ง ตั้งแต่การเปิด-ปิดออเดอร์, การตั้ง Take Profit, การตั้ง Stop Loss และการศึกษากราฟย้อนหลังด้วยตนเอง | การใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ในการช่วยทดสอบระบบเทรดแบบอัตโนมัติ (EA) บน MT4, MT5 หรือ TradingView เป็นต้น |
สอนดู Technical Charts ในตลาด Forex ทำยังไง?
และเพื่อให้เทรดเดอร์ได้เห็นตัวอย่างของ Technical Charts ในตลาด Forex ได้อย่างชัดเจน คุณน้าขอยกตัวอย่างวิธีการดู Technical Charts ในตลาด Forex โดยการใช้ MACD Indicator และ Price Action บน TradingView ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้ค่ะ

จากกราฟด้านบน กำลังอยู่ในแนวโน้มขาลงค่ะ เนื่องจาก Price Action อยู่ในรูปแบบ Down Bar ซึ่งหมายความว่าแท่งเทียนทำการ Lower High และ Lower Low ต่ำกว่าแท่งเทียนก่อนหน้า โดยบ่งชี้ว่าผู้เล่นในตลาดมีการเทขายมากกว่าเข้าซื้อ ทำให้กำลังในฝั่งเทขายมีความแข็งแกร็งมากขึ้น
ซึ่งเห็นได้จากการใช้ MACD Indicator ในการระบุแนวโน้ม โดยเส้น MACD (สีน้ำเงิน) ตัดลงใต้เส้น Signal (สีส้ม) ทำให้ยืนยันแนวโน้มว่าราคากำลังอยู่ในช่วงขาลง ดังนั้น เทรดเดอร์ควรมองหาการเทขาย (Sell) มากกว่าการเข้าซื้อ (Buy) เมื่อราคาเกิดการย่อตัวค่ะ โดยสามารถตั้งจุด Take Profit ไว้ต่ำกว่าราคาก่อนหน้า เพื่อเพิ่มโอกาสในการทำกำไร
ไขข้อสงสัย Technical VS Fundamental Analysis
จากที่กล่าวไปข้างต้น จะเห็นได้ว่า การวิเคราะห์เทคนิคอลจะเน้นไปที่การศึกษารูปแบบของกราฟราคา โดยจะมีความแตกต่างจากการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน ซึ่งมีรายละเอียดตามตารางด้านล่าง ดังนี้
Technical Analysis | ความแตกต่าง | Fundamental Analysis |
เน้นใช้ข้อมูลทางเทคนิคที่ซับซ้อน ผ่านการวิเคราะห์กราฟราคา | ข้อมูลที่ใช้ | เน้นใช้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับปัจจัยที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจในภาพรวม |
ระยะสั้น | Time Frame | ระยะยาว |
Day Trading, Scalping Trading หรือ Swing Trading เป็นต้น | ประเภทการลงทุน | Value Investing หรือ growth investing |
คำแนะนำจากคุณน้า :

นักลงทุนหรือเทรดเดอร์หลายคน อาจจะนึกว่าต้องเลือกการวิเคราะห์ควรเน้นไปที่ปัจจัยเดียวเท่านั้น แต่รู้หรือไม่ว่า คุณสามารถใช้ปัจจัยทั้ง 2 รูปแบบนี้ควบคู่กันได้ เพราะการเน้นปัจจัยใดปัจจัยหนึ่งอาจจะทำให้คุณพลาดโอกาสในการซื้อขาย หรือมองข้ามปัจจัยที่ไม่ควรมองข้ามได้เช่นกันค่ะ
ยกตัวอย่างเช่น คุณน้าเทรด EURJPY โดยเน้นไปที่การศึกษาเทคนิคอลเพียงอย่างเดียว เช่น ใช้เฉพาะอินดิเคเตอร์ โดยไม่ได้สนใจข่าวสารสำคัญที่เกี่ยวกับคู่เงินนี้ ซึ่งพอดีที่ช่วงนั้น ธนาคารกลางมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย โดยส่งผลกระทบต่อคู่เงิน EURJPY เป็นอย่างมาก ทำให้คุณน้าจะมีโอกาสในการขาดทุนมากกว่าการได้กำไรค่ะ
และหากคุณน้าเข้าเทรดในช่วงที่ตลาดเกิดความผันผวนอย่างรุนแรงนั้น คุณน้าอาจจะเทรดสวนเทรดจนทำให้พอร์ตแตกได้ เพราะทิศทางของคู่เงิน EURJPY ยังไม่มีความแน่นอนนั่นเอง
ดังนั้น การนำปัจจัยทั้ง 2 รูปแบบมาประยุกต์ใช้ร่วมกันจะช่วยให้คุณสามารถตัดสินใจและวางแผนกลยุทธ์ในการเทรดที่ครอบคลุมได้มากยิ่งขึ้น
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับเทคนิคอล
ดาวน์โหลดการวิเคราะห์ทางเทคนิค PDF ได้ที่ไหน?
สามารถดาวน์โหลดการวิเคราะห์ทางเทคนิค ฉบับ PDF ฟรีได้ที่หน้าเว็บไซต์ Tradewithauntie โดยคุณน้าได้แจกหนังสือ Forex PDF ซึ่งสอนใช้อินดิเคเตอร์ยอดนิยมควบคู่ไปกับ Price Pattern รวมไปถึงจิตวิทยาการเทรดเรียกได้ว่าครบจบในเล่มเดียว
Technical Analysis มีอะไรบ้าง?
ในบทความนี้นำเสนอไปที่ทฤษฎีชื่อดังที่เกี่ยวข้องกับการวิเคราะ์ทางเทคนิคอล ไม่ว่าจะเป็น Dow Theory หรือ Elliott Wave รวมไปถึงกราฟแท่งเทียน (Candlestick), การวิเคราะห์แนวรับ-แนวต้าน, การวิเคราะห์อินดิเคเตอร์ และการทดสอบ Backtest
การลงทุนโดยใช้ Technical Analysis เหมาะกับตลาดไหน?
การลงทุนโดยใช้ Technical Analysis สามารถใช้ได้ทุกตลาดการเงินและการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้น, ตลาด Forex หรือตลาด Crypto เป็นต้น
สรุปการวิเคราะห์ทางเทคนิคอลดียังไง
ทั้งหมดนี้ ก็คือการวิเคราะห์ทางเทคนิคอลที่คุณน้าได้นำเสนอในวันนี้ค่ะ ซึ่งจะเห็นได้ว่าการวิเคราะห์ทางเทคนิคอลจะช่วยให้คุณสามารถวิเคราะห์แนวโน้มของราคาในอนาคตได้อย่างแม่นยำมากยิ่งขึ้น เพราะอาศัยการศึกษาข้อมูลเชิงลึกจากปริมาณการซื้อขาย ไปจนถึงการกำหนดกรอบเวลาที่เหมาะสม ด้วยการใช้เครื่องมือทางเทคนิคเข้ามาช่วย ไม่ว่าจะเป็นอินดิเคเตอร์, Price Pattern หรือการวิเคราะห์แนวรับ-แนวต้าน เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังช่วยให้นักลงทุนหรือเทรดเดอร์สามารถกำหนดกลยุทธ์การเทรดให้มีความยืดหยุ่นและเหมาะกับสไตล์การลงทุนได้ดียิ่งขึ้น
และก่อนจากกันวันนี้ คุณน้าขอทิ้งท้ายว่า การซื้อขายที่ประสบความสำเร็จจะต้องอาศัยการฝึกฝนประสบการณ์ ซึ่งครอบคลุมไปถึงความมีระเบียบวินัย, การบริหารความเสี่ยงในการลงทุน ซึ่งจะช่วยให้คุณเพิ่มโอกาสในการทำกำไรได้ดียิ่งขึ้น
ขอบคุณข้อมูลจาก : Setinvestnow
สำหรับใครที่สนใจอ่านรีวิวโบรกเกอร์ : Review Brokers
บทความในเรื่องการลงทุนที่น่าสนใจ : Investing
คลังความรู้จากคุณน้า : Knowledge