เมื่อภาระหนี้สินรุมเร้า หลาย ๆ คนเลยรู้สึกว่า หาเงินมามากเท่าไหร่ก็ขาดมือ ดังนั้น การปรับโครงสร้างหนี้จึงถือเป็นอีกหนึ่งทางออกที่จะช่วยให้คุณหายใจหายคอคล่องขึ้นค่ะ ซึ่งหลายคนอาจจะสงสัยว่า “ปรับโครงสร้างหนี้ เสียประวัติไหม” ในบทความนี้ คุณน้าจะพาทุกคนมาไขข้อสงสัยนี้กัน ซึ่งรวมไปถึงการปลดล็อกหนี้แบบฉบับมือโปร ใครเป็นหนี้ห้ามพลาดบทความนี้นะคะ!
*หมายเหตุ : บทความนี้เป็นเพียงบทความให้ความรู้เท่านั้น ไม่ได้เป็นการชักชวนเพื่อลงทุนแต่อย่างใด โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
ปรับโครงสร้างหนี้ คืออะไร?
ปรับโครงสร้างหนี้ คือ เจ้าหนี้ (ธนาคารหรือสถาบันการเงิน) และลูกหนี้ มีการตกลงกันเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการชำระหนี้ เพื่อให้ลูกหนี้สามารถชำระหนี้ได้จนหมด อีกทั้งเจ้าหนี้ยังได้รับการชำระหนี้ โดยที่ลูกหนี้ไม่ต้องผิดนัดชำระและไม่เกิดการฟ้องร้องในอนาคต แม้ว่าจะใช้เวลานานกว่าเดิมก็ตามค่ะ
สำหรับการปรับโครงสร้างหนี้จะเหมาะกับลูกหนี้ที่ประสบปัญหาการเงินติดขัด ไม่ว่าจะเป็นรายได้ลดลง, เกิดอุบัติเหตุกะทันหัน หรือเกิดเหตุการณ์ที่ไม่สามารถชำระหนี้ได้
6 รูปแบบการปรับโครงสร้างหนี้ ที่ได้รับความนิยม
หากคุณเริ่มไม่ไหวกับค่าใช้จ่ายที่มากขึ้น แต่ก็ไม่อยากผิดนัดชำระหนี้จนกลายเป็นหนี้เสีย (NPL) ควรทำยังไงดี? การปรับโครงสร้างหนี้ถือเป็นทางออกที่จะช่วยขยายระยะเวลาในการชำระออกไปค่ะ โดยปกติแล้ว รูปแบบการปรับโครงสร้างหนี้ที่หลายคนใช้กันจะมีทั้งหมด 6 รูปแบบ ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้

การเปลี่ยนประเภทหนี้
การปรับหนี้ที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงให้เป็นอัตราดอกเบี้ยต่ำ ยกตัวอย่างเช่น การปรับโครงสร้างหนี้สินหมุนเวียน อย่างเช่น บัตรเครดิตให้เป็นสินเชื่อ ซึ่งหากคุณชำระไม่เต็มจำนวนหรือชำระไม่ตรงเวลา คุณจะถูกคิดอัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 16% ต่อปี
ดังนั้น การเปลี่ยนประเภทหนี้ที่คุณสามารถทำได้ก็คือ การขอสินเชื่อแบบมีกำหนดระยะเวลาที่ชัดเจน (Term Loan) เพื่อกำหนดระยะเวลาในการชำระที่ชัดเจน และที่สำคัญก็คือ การชำระอัตราดอกเบี้ยจะต่ำลงนั่นเองค่ะ
ข้อดี : ลูกหนี้สามารถผ่อนชำระในจำนวนเงินที่แน่นอนในทุก ๆ เดือน โดยมีระยะเวลาที่ชัดเจน
เกร็ดความรู้จากคุณน้า : เคยปรับโครงสร้างหนี้ ทำบัตรเครดิตได้ไหม?
คำตอบก็คือ คุณยังสามารถทำบัตรเครดิตใบใหม่ได้ค่ะ หากคุณตรงตามเงื่อนไขและคุณสมบัติที่ธนาคารกำหนดไว้ ไม่ว่าจะเป็นความสามารถในการชำระหนี้, รายได้ประจำ หรือประวัติในเครดิตบูโร โดยระยะเวลาในการอนุมัติจะขึ้นอยู่กับแต่ละธนาคารนั่นเองค่ะ
การรีไฟแนนซ์
การปิดหนี้เดิมเพื่อไปกู้หนี้ใหม่กับเจ้าหนี้ใหม่ที่ให้เงื่อนไขที่ดีกว่า ไม่ว่าจะเป็นการขยายระยะเวลาในการผ่อนชำระที่นานขึ้น หรือการให้อัตราดอกเบี้ยต่ำลง โดยส่วนใหญ่จะนิยมทำกับหนี้บ้าน หรือที่เราเรียกว่าการรีไฟแนนซ์บ้าน ทั้งนี้ การรีไฟแนนซ์ยังสามารถทำได้กับหนี้ประเภทอื่นได้ด้วยนะคะ เช่น หนี้บัตรเครดิตและหนี้บัตรกดเงินสด เป็นต้น
ข้อดี : ช่วยลดอัตราดอกเบี้ยในระยะยาว เหมาะกับลูกหนี้ที่อยากผ่อนชำระแต่ละเดือนในจำนวนที่ลดลง
การขอลดดอกเบี้ยชั่วคราว
การเจรจาเพื่อขอปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งมักจะเป็นช่วงที่ลูกหนี้เผชิญปัญหาทางการเงินอย่างกะทันหัน ทำให้เจ้าหนี้จะต้องปรับอัตราดอกเบี้ยลงในช่วง 3 หรือ 6 เดือน เพื่อป้องกันการผิดนัดชำระหนี้ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อประวัติเครดิตบูโรได้ค่ะ
ข้อดี : ช่วยลดภาระหนี้ในระยะสั้น ๆ ซึ่งลูกหนี้คาดว่าจะกลับมามีรายได้เท่าเดิมหรือดีกว่าเดิมในอนาคต
การขอพักชำระเงินต้น
การเจรจาเพื่อขอพักชำระเงินต้น แต่ยังจ่ายอัตราดอกเบี้ย โดยส่วนใหญ่แล้ว จะขอพักชำระเงินต้นอยู่ที่ 3-6 เดือน
ข้อดี : ช่วยลดภาระหนี้รายเดือน เนื่องจากลูกหนี้หมุนเงินไม่ทันกะทันหัน แต่คาดว่าสามารถกลับมาชำระหนี้ได้ในอนาคต
การขอขยายเวลาในการชำระหนี้
การขอขยายเวลาในการชำระหนี้เพื่อเพิ่มระยะเวลาในการจ่ายหนี้ออกไป ซึ่งสามารถขอขยายเวลาในการชำระหนี้ได้เป็นปี ทั้งนี้ ก็จะขึ้นอยู่กับประเภทหนี้, ยอดหนี้ หรือรายได้ของลูกหนี้ค่ะ
ข้อดี : ยอดผ่อนชำระรายเดือนลดลง ทำให้สถานะทางการเงินคล่องตัวมากขึ้น อย่างไรก็ดี การขยายเวลาในการชำระหนี้จะขยายระยะเวลาในการผ่อนมากขึ้น และที่สำคัญ ก็คือ ดอกเบี้ยจะเพิ่มมากขึ้นนั่นเองค่ะ
การ Haircut
การ Haircut คือ การขอส่วนลดหนี้จากเจ้าหนี้ โดยการจ่ายเงินก้อนเพื่อปิดหนี้ทั้งหมด ซึ่งปกติแล้ว สถาบันทางการเงินจะเสนอทางเลือกต่าง ๆ ให้ ไม่ว่าจะเป็นการลดอัตราดอกเบี้ยหรือการลดเงินต้น เพื่อให้ลูกหนี้สามารถชำระหนี้ได้ ถึงแม้ว่าเจ้าหนี้จะได้รับเงินคืนแค่บางส่วน แต่ก็ดีกว่าการปล่อยให้หนี้สูญเปล่าค่ะ
ข้อดี : ลูกหนี้ไม่ต้องกังวลเรื่องดอกเบี้ยสะสม
การปรับโครงสร้างหนี้ เหมาะกับใคร?
จากที่กล่าวไปข้างต้น จะเห็นได้ว่า การปรับโครงสร้างหนี้มีรูปแบบที่ต่างกันออกไป ซึ่งจะขึ้นอยู่กับสภาพคล่องทางการเงินของแต่ละคน โดยคุณต้องถามตัวเองก่อนว่า คุณเหมาะกับวิธีการแบบไหน โดยสามารถอ่านเช็กลิสต์ที่คุณน้านำเสนอได้ ดังนี้ค่ะ
| เช็กลิสต์การปรับโครงสร้างหนี้ รูปแบบไหนเหมาะกับคุณ | |
ยังจ่ายหนี้ไหว แต่อยากประหยัดค่าใช้จ่าย | การเปลี่ยนประเภทหนี้ |
| การรีไฟแนนซ์ | |
| มีค่าใช้จ่ายมากขึ้น จ่ายไหวแค่บางส่วน | การลดอัตราดอกเบี้ย |
| การพักชำระเงินต้น | |
| การขยายเวลาชำระหนี้ | |
| จ่ายไม่ไหว เงินไม่พอใช้จ่าย | การพักชำระเงินต้น |
| มีหนี้เสียเรื้อรัง แต่ยังพอมีเงินก้อน | การ Haircut |
รวมคำถามการปรับโครงสร้างหนี้ส่งผลต่อเครดิตบูโรอย่างไร?
คนเป็นหนี้หลายคนอาจจะกังวลว่า การปรับโครงสร้างหนี้ เสียประวัติไหม และจะมีผลต่อเครดิตบูโรหรือไม่ ซึ่งคุณน้าได้รวบรวมคำถามที่จะช่วยคลายความสงสัยเหล่านี้มาไว้ให้คุณแล้ว โดยมีรายละเอียด ดังนี้
การปรับโครงสร้างหนี้ เสียเครดิตบูโรไหม?
การปรับโครงสร้างหนี้ จะมีการอัปเดตสถานะในเครดิตบูโรแต่ก็ไม่ได้เสียเครดิตทันทีค่ะ เพราะจะขึ้นอยู่กับช่วงเวลาที่คุณขอปรับโครงสร้างหนี้กับเจ้าหนี้ ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 2 กรณี โดยมีรายละเอียด ดังนี้
1. กรณีไม่เคยผิดนัดชำระหนี้ และมีการปรับโครงสร้างนี้ก่อนผิดนัดชำระหนี้
ในกรณีนี้จะถือได้ว่าไม่มีผลต่อเครดิตในอนาคตมากนักค่ะ เพราะระบบจะมีการบันทึกสถานะว่า “เป็นการพักชำระหนี้ตามนโยบายของสมาชิก” หรือ “มีการขอพักชำระหนี้ตามนโยบายของรัฐ” ซึ่งจะถือว่าเป็นลูกหนี้ที่มีความรับผิดชอบดี
ดังนั้น การขอสินเชื่อในอนาคตอาจจะผ่านหรือไม่ผ่านก็ได้ค่ะ เพราะขึ้นอยู่กับประเภทสินเชื่อที่ขอกู้ หรือนโยบายของแต่ละสถาบันการเงินด้วยนะคะ
2. กรณีผิดนัดชำระหนี้ ก่อนปรับโครงสร้างหนี้ภายหลัง
ในกรณีนี้จะถือว่ามีผลต่อเครดิตในอนาคตแน่นอนค่ะ เพราะในระบบจะแสดงให้เห็นสถานะ “หนี้ค้างชำระเกิน 90 วัน” ก่อนที่จะเปลี่ยนรหัสตามประเภทของการปรับโครงสร้างหนี้ แต่สถาบันการเงินสามารถเข้ามาตรวจสอบข้อมูลย้อนหลังได้เช่นกัน ซึ่งมีสิทธิที่การขอกู้สินเชื่อในอนาคตจะยากยิ่งขึ้นค่ะ
ปรับโครงสร้างหนี้ติดประวัติกี่ปี?
หากคุณผิดนัดชำระหนี้ ก่อนปรับโครงสร้างหนี้ภายหลัง สถานะเครดิตบูโรจะยังเก็บมูลย้อนหลังไว้ 3 ปี ซึ่งจะนับจากวันที่คุณชำระหนี้เรียบร้อยแล้ว
ยกตัวอย่างเช่น หากคุณน้าผิดนัดการชำระสินเชื่อส่วนบุคคล และปิดหนี้เรียบร้อยในเดือนตุลาคม 2025 ประวัติการค้างชำระจะยังคงอยู่ จนถึงเดือนตุลาคม 2028 ซึ่งระบบจะทำการล้างข้อมูลให้ และประวัติทางการเงินของคุณจะมีเครดิตที่ดีอีกครั้งค่ะ
ปรับโครงสร้างหนี้ได้กี่ครั้ง?
ไม่ได้กำหนดว่าปรับได้กี่ครั้ง เพราะจะขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละสถาบันการเงินค่ะ ยกตัวอย่างเช่น ธนาคารกสิกรไทยจะแบ่งการปรับโครงสร้างหนี้ซ้ำเป็น 2 กรณี โดยมีรายละเอียด ดังนี้
- หากเคยปรับโครงสร้างหนี้ก่อนเกิดหนี้เสีย แต่ยังมีปัญหาผ่อนชำระไม่ไหวจนกลายเป็นหนี้เสียภายหลัง สามารถขอปรับโครงสร้างหนี้ได้ตามเกณฑ์ Responsible Lending ก็คือ ลูกหนี้สามารถขอปรับโครงสร้างหนี้ ก่อนเป็นหนี้เสียอย่างน้อย 1 ครั้ง และหลังเป็นหนี้เสียอย่างน้อย 1 ครั้ง
- หากเคยปรับโครงสร้างหนี้ทั้งก่อนและหลังเป็นหนี้เสีย สามารถปรึกษาธนาคารกสิกรไทยได้เป็นรายกรณี
ปรับโครงสร้างหนี้ แล้วกู้ได้ไหม?
สามารถกู้ได้ แต่อาจใช้เวลานานกว่าปกติ เพราะสถาบันการเงินจะมองว่าสภาพคล่องทางการเงินของคุณอาจจะไม่ดี หรือเคยมีปัญหาทางการเงินติดขัด ซึ่งหากกู้ผ่าน คุณจำเป็นต้องเคลียร์หนี้เก่าให้เรียบร้อยและตรงเวลา เพื่อรักษาเครดิตที่ดีค่ะ
ปรับโครงสร้างหนี้มีผลเสียอะไรบ้าง?
แม้ว่าการปรับโครงสร้างหนี้จะดีกว่าการเป็นหนี้เสียในอนาคต แต่ก็แลกมากับข้อเสียที่คุณควรระมัดระวัง โดยคุณน้าขอยกตัวอย่าง 4 ข้อเสียของการปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้
ประวัติทางการเงินเปลี่ยนทันที
สถานะเครดิตบูโรของคุณจะเปลี่ยนไป โดยจะขึ้นสถานะปรับโครงสร้างหนี้ ถึงแม้ว่าจะไม่แย่เท่ากับหนี้ค้างชำระ แต่เมื่อคุณต้องการกู้สินเชื่อทางการเงินประเภทอื่น สถาบันทางการเงินจะพิจารณาและอนุมัติสินเชื่อยากขึ้นในอนาคต
ค่าธรรมเนียมแฝงจากเจ้าหนี้
เจ้าหนี้บางรายอาจคิดค่าธรรมเนียมแฝงเพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็นค่าทำเอกสารใหม่, ค่าธรรมเนียมการปรับโครงสร้างหนี้ หรือแม้แต่ค่าบริการอื่น ๆ เป็นต้น ซึ่งรวมเป็นค่าใช้จ่ายที่เพิ่มมากขึ้น ดังนั้นแล้ว อย่าลืมสอบถามรายละเอียดเหล่านี้ให้ดีนะคะ
ดอกเบี้ยสะสมเพิ่มขึ้น
แม้ว่าระยะเวลาในการผ่อนชำระจะช่วยให้คุณหายใจหายคอคล่องขึ้น แต่อย่าลืมว่าดอกเบี้ยจากยอดหนี้เดิมจะเพิ่มมากขึ้น ซึ่งในบางครั้งอาจจะเป็นจำนวนที่ค่อนข้างมาก ดังนั้น ก่อนการปรับโครงสร้างหนี้ อย่าลืมคำนวณดอกเบี้ยสะสมให้ดี
เกณฑ์การชำระหนี้ใหม่จะเข้มงวดมากขึ้น
ยกตัวอย่างเช่น กำหนดให้ชำระหนี้ในวันที่ 5 ของทุก ๆ เดือน การกำหนดอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นเมื่อผิดนัดชำระ หรือแม้แต่การยึดหลักประกัน ในกรณีที่มีการชำระหนี้ล่าช้า เพื่อให้ลูกหนี้อยู่ในกฎระเบียบและสามารถชำระหนี้ได้ครบถ้วน

วิธีการจัดการหนี้ท่วมหัวแต่เอาตัวรอดได้ ทำไงดี?
จากที่กล่าวไปข้างต้น จะเห็นได้ว่าการปรับโครงสร้างหนี้ถือเป็นทางออกที่ดี แม้ว่าจะส่งผลต่อประวัติทางการเงินของคุณ แต่ก็ดีกว่าผิดนัดชำระและปล่อยให้เป็นหนี้เสียในอนาคต ซึ่งมักจะส่งผลกระทบต่อการกู้สินเชื่อที่ยากกว่าเดิมค่ะ
ดังนั้น นิยามที่ว่า “ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย” ถือว่าใช้ไม่ได้นะคะ แล้วอย่างนี้ จะมีวิธีการจัดการกับหนี้ท่วมหัวแต่เอาตัวรอดได้อย่างไรดี คุณน้ามีวิธีจัดการหนี้สินมานำเสนอ โดยมีรายละเอียด ดังนี้ค่ะ
สำรวจหนี้สินที่มีและหยุดก่อหนี้เพิ่ม
ขั้นตอนแรกก็คือ สำรวจหนี้สินที่มีอยู่ เพื่อวางแผนในการเคลียร์หนี้ในลำดับต่อไปค่ะ และสิ่งสำคัญที่ควรทำอีกสิ่งหนึ่งก็คือ หยุดก่อหนี้เพิ่ม และอย่ากู้เงินก้อนนั้น เพื่อมาปิดหนี้ก้อนนี้ เพราะไม่อย่างนั้น หนี้ของคุณจะไม่หมดสักที มีแต่จะทบขึ้นไปเรื่อย ๆ ค่ะ
วางแผนเคลียร์หนี้อย่างรัดกุม
ลำดับต่อมาก็คือ วางแผนเคลียร์หนี้อย่างรัดกุมด้วยการรัดเข็มขัดหยุดใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น เพื่อนำเงินไปเคลียร์หนี้ตามลำดับความสำคัญค่ะ ซึ่งควรเคลียร์หนี้ที่มีอัตราดอกเบี้ยที่แพงที่สุดก่อน หรือ เคลียร์หนี้ที่เหลือยอดค้างชำระที่เหลือน้อยที่สุดก่อน เพื่อลดจำนวนภาระค่าใช้จ่ายและลดจำนวนเจ้าหนี้ให้ลดลงนั่นเองค่ะ
หาที่ปรึกษา เพื่อหาวิธีการแก้ไขปัญหาหนี้
หากก่อหนี้แล้ว แน่นอนว่าย่อมเกิดความเครียดตามมาแน่นอน ด้วยเหตุนี้เอง การปรึกษาใครสักคนก็จะช่วยให้คุณลดความเครียดลงได้ เพราะสิ่งที่ควรมีที่สุดก็คือสติ เพื่อหาแนวทางในการแก้ไขปัญหาต่อไปค่ะ ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้ว หลาย ๆ คนจะลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลง และเพิ่มช่องทางในการสร้างรายได้ หรือหลาย ๆ คนอาจตัดสินใจขายสินทรัพย์บางส่วน เพื่อนำมาโปะหนี้
อย่างไรก็ดี หากทำทั้ง 2 วิธีแล้ว หนี้สินยังคงมีอยู่ คุณควรติดต่อหรือปรึกษาเจ้าหนี้ เพื่อขอเจรจาต่อรองให้เร็วที่สุดค่ะ ซึ่งแต่ละสถาบันทางการเงินจะเสนอเงื่อนไขในการปรับโครงสร้างหนี้ที่แตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็นโครงการแก้หนี้ของสถาบันเอง หรือการเข้าร่วมกับคลินิกแก้หนี้ที่สถาบันเป็นพันธมิตรอยู่ เป็นต้น
ดังนั้น คุณควรอ่านเงื่อนไขให้ดี ก่อนตัดสินใจปรับโครงสร้างหนี้ เพื่อคำนึงถึงความสามารถในการชำระหนี้ของตนเองในภายภาคหน้า
ทำตามแผนอย่างเคร่งครัด และปรับพฤติกรรมหลังปลดหนี้
เมื่อคุณวางแผนการชำระหนี้เรียบร้อยแล้ว อย่าลืมทำตามแผนที่วางไว้อย่างเคร่งครัดนะคะ เพื่อสร้างวินัยทางการเงินของตัวคุณเอง ซึ่งจะช่วยให้คุณปลดหนี้ได้เร็วขึ้น และหลังจากปลอดหนี้เรียบร้อยแล้ว สิ่งที่ควรทำในลำดับต่อมา ก็คือ การวางแผนทางการเงินด้วยการทำรายรับ-รายจ่าย, ออมเงินเพื่อใช้ยามฉุกเฉิน หรือลงทุนในสินทรัพย์ที่สร้างผลตอบแทนในอนาคต เพื่อหลีกเลี่ยงการเป็นหนี้ที่ไม่จำเป็น และที่สำคัญก็คือ เป็นการสร้างวินัยทางเงินให้กับคุณนั่นเองค่ะ
สรุปปรับโครงสร้างหนี้ เสียประวัติไหม มีวิธีแก้หรือไม่
จะเห็นได้ว่า การเป็นหนี้ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ การปรับโครงสร้างหนี้จึงถือเป็นทางออกที่ดีค่ะ แม้ว่าจะส่งผลกระทบต่อประวัติทางการเงินของคุณในภายภาคหน้า แต่การปล่อยหนี้ให้กลายเป็นหนี้เสียย่อมส่งผลกระทบร้ายแรงยิ่งกว่า ดังนั้น อย่าลืมแก้ไขปัญหาหนี้สินอย่างรัดกุมและเคร่งครัด เพื่อชำระหนี้ให้ถูกจุด และที่สำคัญก็คือ เพื่อสร้างประวัติทางการเงินที่ใสสะอาดอีกครั้ง ด้วยความปรารถนาดีจากทีมงานคุณน้าพาเทรดค่ะ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก : ธนาคารแห่งประเทศไทย, Krungsri และ SET
สำหรับใครที่สนใจอ่านรีวิวโบรกเกอร์ : Review Brokers
บทความในเรื่องการลงทุนที่น่าสนใจ : Investing
คลังความรู้จากคุณน้า : Knowledge








